วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

ขนมเงินล้าน เบอร์หนึ่งเมืองแปดริ้ว

ขนมเปี๊ยะบางคล้า ขนมเงินล้าน เบอร์หนึ่งเมืองแปดริ้ว

ขนมเปี๊ยะบางคล้า ขนมเงินล้าน เบอร์หนึ่งเมืองแปดริ้ว

ระยะเวลามากกว่า 70 ปี ผ่านการสืบทอดกิจการจากรุ่นสู่รุ่น ถึงวันนี้ ขนมเปี้ยะ “ตั้งเซ่งจั้ว” จากร้านเล็กๆ ในชุมชนบางคล้า ก้าวขึ้นสู่แบรนด์ของฝากอันดับต้นๆ ประจำเมืองแปดริ้ว พร้อมกับมีส่วนสำคัญ ผลักดันชื่อขนมเปี๊ยะบางคล้าเป็นที่รู้จักระดับประเทศ

องค์ ประกอบแห่งความสำเร็จที่ได้มา ลำพังแค่รสชาติความอร่อยอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องเติมเต็มธุรกิจหลายๆ ด้าน ทั้งพัฒนามาตรฐานการผลิต บรรจุภัณฑ์ แผนการตลาด และเปลี่ยนตำแหน่งสินค้า จากขนมใช้ในเทศกาลสู่ของฝากประจำถิ่น ทั้งหมดประกอบกันช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำในฐานะเบอร์หนึ่งแห่งขนมเปี้ ยะบางคล้า

ปิยะพร ตันคงคารัตน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮก แอนด์ ซันส์ จำกัด ในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ผู้ดูแลธุรกิจร้านขนมเปี๊ยะ “ตั้งเซ่งจั้ว” เล่าให้ฟังว่า ผู้บุกเบิกธุรกิจ คือ อากง (ฮก แซ่ตั้ง) ของเขา ซึ่งอพยพหนีความแล้งแค้นมาจากเมืองเหยี่ยวเพ้ง ใกล้กับเมืองซัวเถา ประเทศจีน โดยพกพาฝีมือทำขนมเปี๊ยะมาเปิดร้านอยู่ที่ตลาดบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เมื่อปี 2475 หรือ 76 ปีที่แล้ว

เส้นทางอาชีพหลังจากนั้น ฝ่าฟันอุปสรรคนานาประการ จากรุ่นอากง สู่ทายาทรุ่นที่ 2 ค่อยๆ สะสมความสำเร็จ ต่อยอดให้ธุรกิจเข้าขั้นมั่นคง ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างสูง สร้างชื่อให้ขนมเปี๊ยะจากบางคล้า เป็นที่รู้จักในวงกว้าง (อ่านเรื่องประกอบ”เปิดตำนานขนมเปี๊ยะ “ตั้งเซ่งจั้ว” สูตรซัวเถาสู่เจ้าดังบางคล้า”)

อย่างไรก็ตาม ในแง่สร้างแบรนด์ร้านเป็นที่จดจำแล้วยังนับว่าห่างไกลความสำเร็จ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะรู้จักกันแค่ในนามขนมเปี๊ยะบางคล้า ไม่ใช่ในชื่อ “ตั้งเซ่งจั้ว” และยิ่งนานวัน คู่แข่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทุกร้านล้วนแต่ใช้ชื่อว่า ขนมเปี๊ยะบางคล้าทั้งหมด ในที่สุดเกิดปัญหาขายตัดราคากันเอง

ทายาทรุ่น 3 กล่าวว่า ที่ผ่านมา ร้าน “ตั้งเซ่งจั้ว” พยายามจะเป็นผู้นำตลาดเสมอมา แต่ไม่ว่าจะบุกเบิกแนวทางใหม่ใดๆ ก็ตาม หนีไม่พ้นมีผู้ผลิตรายอื่นมาแข่งขันด้วยรูปแบบใกล้เคียงกัน

ปมดังกล่าวนำมาสู่การพลิกโฉมธุรกิจครั้ง สำคัญที่สุด ในช่วงปลายยุครุ่น 2 ต่อสู่ทายาทรุ่น 3 โดยเปลี่ยนจุดยืนสินค้าจากขนมที่มักใช้เฉพาะเทศกาลของชาวจีน อย่างตรุษจีน และปีใหม่ มาเป็นขนมของฝากที่ขายได้ตลอดทั้งปี

“จากที่พวกเราคุยกันในครอบครัว ได้ข้อสรุปว่า ต้องเปิดเป็นร้านของฝากอยู่ติดถนนใหญ่ ซึ่งเป็นร้านที่ลูกค้าเข้ามาแล้วประทับใจ ไม่ใช่ซื้อของแล้วกลับ แต่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของแปดริ้ว สำหรับแวะพักผ่อน คลายเมื่อยล้าจากการเดินทาง หรือแวะมาถ่ายรูป สร้างความทรงจำให้ลูกค้า แม้ว่าลูกค้าอาจจะจำชื่อร้านไม่ได้ แต่ก็จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมาที่นี่”

เริ่มแรกวางงบก่อสร้างไว้เพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น แต่เมื่อลงมือจริง เพื่อให้ได้ร้านสมบูรณ์แบบตามจินตนาการไว้ เบ็ดเสร็จลงทุนกว่า 24 ล้านบาท แบ่ง เป็นค่าสิ่งปลูกสร้าง 18 ล้านบาท กับค่าที่ดินอีก 6 ล้านบาท ใช้ระยะก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ.2539-2545 พื้นที่รวม 4 ไร่ ตั้งอยู่ติดริมถนนใหญ่เส้นทางสู่อำเภอพนมสารคาม ให้ชื่อว่า สาขาเก๋งจีน


ขนมเปี๊ยะบางคล้า ขนมเงินล้าน เบอร์หนึ่งเมืองแปดริ้ว
“ตอนแรกไม่คิดว่าจะทำใหญ่อย่างนี้ แต่หลังจากพูดคุยในครอบครัว ถ้าทำเล็ก เราก็หนีคู่แข่งไม่พ้นอีก แบรนด์ก็ไม่แข็งแรงด้วย ดังนั้น ตัดสินใจเลือกจะทำให้ครบและใหญ่ เพื่อให้สาขานี้ เป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ ให้ลูกค้ารู้ว่า เราเป็นตัวจริงของคนทำขนมเปี๊ยะบางคล้า อีกทั้ง อาคารแห่งนี้ยังเป็นตัวแทนเก็บความทรงจำ และความภูมิใจของสมาชิกครอบครัว ให้ตระหนักรากเหง้าของเราว่า เป็นครอบครัวทำขนมเปี๊ยะ”

จาก แนวคิดดังกล่าว ในพื้นที่กว่า 4 ไร่ของร้าน “ตั้งเซ่งจั้ว” สาขาเก๋งจีน เปรียบเหมือนอาณาจักรแห่งขนมเปี๊ยะบางคล้า นอกจากสินค้าที่มีให้เลือกหลากหลายแล้ว ยังประกอบไปด้วยมุมนิทรรศการแสดงประวัติความเป็นมาของร้าน อีกทั้ง บริเวณนั่งผ่อนคลายอารมณ์ และห้องขายสินค้าที่ระลึก เป็นต้น

อีกจุดที่โดดเด่นอย่างยิ่ง คือ เคาน์เตอร์ขายสินค้าจำลองเป็นร้านต้นตำรับในชุมชนบางคล้า ขณะ ที่ตัวอาคารก่อสร้างเป็นเก๋งจีนสไตล์ประยุกต์ ทั้งสง่า และสวยงาม ถึงขั้นคว้ารางวัล ผลงานสถาปัตยกรรมดีเด่นแห่งประเทศไทย ประเภทอาคารรวมกิจกรรมพาณิชยกรรม จากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ประจำปี 2547 มาแล้ว

นอกจากนั้น เสริมความน่าสนใจผ่านบรรจุภัณฑ์สวยงาม อีกทั้ง ทำสินค้าที่ระลึกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืด ตุ๊กตา พวงกุญแจ ชุดน้ำชา ฯลฯ แม้กระทั่ง หนังสือการ์ตูนเล่าเรื่องราวของร้าน วาดโดยหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว ซึ่งสินค้าที่ระลึกเหล่านี้ ด้านยอดขาย ล้วนขาดทุนทั้งสิ้น แต่สิ่งที่ได้ทดแทน คือ ตอกย้ำแบรนด์ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น

ทายาท รุ่น 3 เผยว่า การลงทุนสาขา “เก๋งจีน” ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูง ส่งให้ยอดขายเพิ่มจากเดิม 2-3 เท่าตัว รวมถึง เปิดตลาดสู่ลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวสำเร็จ ทั้งกลุ่มทัวร์ และผู้เดินทางมาไหว้หลวงพ่อโสธรช่วงสุดสัปดาห์จะแวะมาซื้อขนมเปี๊ยะกลับไป เป็นของฝาก และสำคัญที่สุด ช่วยสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง ยกระดับจากแบรนด์ระดับอำเภอสู่ระดับประเทศ

ปัจจุบัน ร้าน “ตั้งเซ่งจั้ว” มีสาขารวม 6 แห่ง กระจายอยู่ในตัวเมืองแปดริ้ว ส่วนผลิตภัณฑ์มีกว่า 30 ชนิด เน้นขนมจีนโบราณผ่านการประยุกต์รูปแบบให้ทันสมัย ภายใต้บรรจุภัณฑ์มาตรฐานสากล ราคาเฉลี่ย ตั้งแต่กล่องละ 50-200 กว่าบาท กลุ่มลูกค้า แบ่งเป็นนักท่องเที่ยว 60% และ 40% เป็นคนท้องถิ่น นอกจากนั้น มีช่องทางตลาดส่งเข้าร้านโกลเด้นเพลสทุกสาขาอีกด้วย

ในฐานะผู้ดูแลธุรกิจ ณ ปัจจุบัน ปิยะพร ระบุภารกิจสำคัญ อันดับแรกมุ่งรักษาคุณภาพรสชาติให้เหมือนต้นตำรับ เตือนตัวเองเสมอว่า แม้ภาพลักษณ์ภายนอกจะเลิศหรูเพียงใด แต่สุดท้ายแล้ว ความอร่อยที่ลูกค้าสัมผัสได้ จะเป็นเครื่องตัดสินความสำเร็จที่ยั่งยืนของธุรกิจ

นอกจากนั้น เป้าหมายระยะสั้น อยากพัฒนาการผลิต ให้โรงงานก้าวสู่มาตรฐานระดับโลก ทั้ง GMP และ HACCP ส่วนเป้าหมายระยะยาว จะขยายตลาดให้กว้างขึ้น ทั้งในหรือต่างประเทศ

“ผมจะคิดเสมอว่า ยิ่งธุรกิจเป็นที่รู้จักมากเท่าใด ความคาดหวังของผู้บริโภคจะยิ่งเพิ่มตามไปด้วย ดังนั้น จะต้องรักษาคุณภาพ และสายสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าที่เคยกินขนมของเรามาตั้งแต่รุ่นอากง มาถึงรุ่นพ่อและอาๆ ให้ยั่งยืนต่อไป และส่งต่อสายสัมพันธ์เหล่านี้ไปสู่รุ่นลูกๆ ของผมต่อไป”



แบ่งปันข่าวสาร โดย ผู้จัดการ SMEs



หากท่านเห็นว่าบทความนี้มีประโยยช์ ช่วยกันสนับสนุนสื่อคุณภาพด้วยนะครับ

เศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์

เศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์



เริ่มเป็นที่รุ้จักในปี 2001 จากหนังสือ The Creative Economy: How People Make Money from Ideas ของ John Howkins ที่ได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดสร้างสรรค์และเศรษฐศาสตร์

ในมุมมองของ Howkins ทั้งความคิดสร้างสรรค์และเศรษฐกิจต่างไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่สิ่งที่ใหม่ก็คือ การพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้ และการใช้ความคิดสร้างสรรค์ร่วมไปกับแนวคิดด้านเศรษฐศาสตร์เพื่อสร้างมูลค่า และความมั่งคั่ง (value and wealth)

ด้วยความที่แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาโดยรัฐบาลในหลายประเทศ จึงยังไม่มีคำนิยามที่ชัดเจนในปัจจุบัน

ล่าสุดในรายงานของอังค์ถัด (UNCTAD) เรื่อง CREATIVE ECONOMY REPORT 2008 ได้ให้คำนิยามของเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ไว้ว่าเป็น แนว คิดที่พูดถึงศักยภาพในการใช้สินทรัพย์ทางความคิดสร้างสรรค์ (creative assets) เพื่อพัฒนาและสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เอื้อให้เกิดการสร้างรายได้ และเพิ่มยอดการส่งออก ขณะเดียวกันก็ยังรวมถึงการมีส่วนร่วมทางสังคม ความหลกหลายทางวัฒนะธรรม และการพัฒนาทรัพยาการมนุษย์ด้วย

นอกจากนี้อังค์ถัด ยังได้ให้คำจำกัดควาของอุตสาหกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ (Creative industry) ว่าเป็น วงจรของการสร้างสรรค์ การผลิต และการจำหน่ายสินค้าและบริการที่มีปัจจัยหลักคือความคิดสร้างสรรค์และทุนทาง ปัญญา (intellectual capital)

กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้คำจำกัดความดังกล่าว หรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความเชื่อมโยงระหว่างกันจะประกอบไปด้วย กลุ่มองค์ความรู้ตั้งต้น เช่น ศิลปหัตถกรรม, กลุ่มการแสดงศิลปะ เช่น การละคร, กลุ่มสิ่งพิมพ์และวรรณกรรม เช่น หนังสือ, กลุ่มดนตรี, เช่น คอนเสิร์ต และซีดี, กลุ่ม Visual Arts เช่น ภาพยนตร์และโทรทัศน์, กลุ่มงานออกแบบ เช่น สถาปัตยกรรม และกลุ่ม ดิจิตอลและมัลติมีเดีย เช่น ซอฟแวร์ และเกม

ไอเดียอาชีพแปลก

“hug me” ดีไซน์แปลก หมี-หมอนหน้าคน



โดย สุจิต เมืองสุข
“hug me” ดีไซน์แปลก หมี-หมอนหน้าคน

“การ ทำแพทเทิร์น ต้องวาดให้เหมือนหน้าลูกค้าให้มากที่สุด จากนั้นส่งอี-เมลแพทเทิร์นที่วาดไปให้ลูกค้าดู เมื่อลูกค้าพอใจแพทเทิร์นรูปหน้า จึงเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นการเย็บมือล้วนและต้องเย็บให้เหมือนที่วาด ไม่ถือว่าง่าย ใช้เวลาทำ 2 วัน ต่อหมอน 1 ใบ”

ความชำนาญ ในแต่ละสาขาอาชีพ ส่วนหนึ่งเกิดจากพรสวรรค์และความสามารถส่วนบุคคลที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ หรือ ไม่มีใครเหมือน เพราะแต่ละบุคคลย่อมสร้างสรรค์งานออกมาในมุมมองที่กลั่นจากตัวของตนเอง แต่ผลงานจะออกมาโดดเด่นหรือมีความแตกต่างจนได้รับการยอมรับหรือชื่นชมในวง กว้างหรือไม่นั้น ขึ้นกับโอกาสและจังหวะที่ได้รับด้วย อย่าง คุณประยุทธ ประจันทา หนุ่มที่มากด้วยฝีมือการเย็บปัก แต่เพิ่งค้นพบตัวเองเมื่อการดำรงชีวิตตีกรอบให้คุณประยุทธนำความสามารถส่วน ตัวออกมา ที่เขาเองเพิ่งค้นพบตัวเอง นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับการหาเลี้ยงชีพให้อยู่รอดในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

ช่วง บ่ายของวันที่แดดจัดในคอนโดมิเนียม ย่านพระราม 2 คุณประยุทธกำลังสาละวนอยู่กับกองผ้าหลากสีด้านหน้า เท่าที่จับเนื้อผ้าดูพบว่าเป็นผ้าที่เนื้อดี นุ่ม ยืดหยุ่นตามมือ และสีสันสวยงาม แต่ชิ้นของผ้ามีขนาดไม่ใหญ่นักเพราะถูกตัดเป็นชิ้นเล็กหลายขนาด แต่ละขนาดมีหลายผืน แต่ละผืนมีหลายสี ต่อเมื่อกองรวมกันทำให้บรรยากาศภายในคอนโดดูสบายตาไม่น้อย จนเผลอลืมไปว่า วันนี้ “เส้นทางเศรษฐี” มีนัดคุยกับคุณประยุทธ เจ้าของไอเดียตุ๊กตาหมีทำมือ และ หมอนหน้าคน ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ของชิ้นงานที่มีไอเดียและดีไซน์ใหม่ๆ จากสถานีวิทยุ กรีนเวฟ 106.5 เอฟเอ็ม



เรียนรู้-ทดลอง จากเว็บไซต์

แหล่งอาชีพ ค้นหาตัวเอง

จาก วัยวุฒิและคุณวุฒิ ตามที่คุณประยุทธเล่าให้ฟัง ทราบได้ว่าคุณประยุทธอยู่ในช่วงคนหนุ่มไฟแรง มุ่งมั่นประกอบอาชีพอิสระแสวงหาความมั่นคงให้กับชีวิต แม้การศึกษาจะมีเพียงแค่มัธยมตอนปลาย แต่ความตั้งใจมีเกินกว่านั้น และจากเด็กหนุ่มที่ผ่านการทำงานบริษัทในตำแหน่งเมสเซนเจอร์ พนักงานร้านสะดวกซื้อ พนักงานขาย ช่วยบ่มเพาะประสบการณ์ให้กับคุณประยุทธได้เป็นอย่างดี

หลังผ่านอาชีพ ต่างๆ เหล่านั้น คุณประยุทธตัดสินใจเลือกอาชีพอิสระที่ไม่ต้องมีนายจ้างลูกจ้าง โดยหันหน้าเข้าหาอาชีพค้าขาย เพราะด้วยอุปนิสัยส่วนตัวชอบเดินทางท่องเที่ยวและถ่ายภาพ ทำให้เห็นสินค้าที่ต่างและหลากหลาย จึงตัดสินใจนำผลิตภัณฑ์ทางเหนือ เช่น รองเท้าแม้ว กระเป๋าผักตบ กระเป๋าสานกระจูด กระโปรงแม้ว กำไลข้อมือ ที่น่าสนใจลงมาขายในตลาดนัดช่วงเย็นที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ที่พัก แต่เพราะการค้าลักษณะเช่นนี้มีให้เห็นมาก การแข่งขันจึงสูง ทำให้การค้าขายที่คุณประยุทธตัดสินใจลงทุนลงแรงไปต้องชะงักลงภายในเวลาเพียง ปีเดียว

“ช่วงนั้นราวปลายปี 51 ที่ประสบปัญหาขาดทุน ขายของไม่ได้ พยายามมองหางานอื่นทำ พอดีรู้จักกับน้องที่ทำโต๊ะตัดผ้าในโรงงาน มีเศษผ้าที่ใช้ตัดเสื้อผ้าเด็กทิ้งจำนวนมาก ลายน่ารัก ผ้าเนื้อดี น้องเขาให้ไปเอาเศษผ้าเผื่อจะใช้ทำอะไร ตอนนั้นเลยคิดนำเศษผ้ามาเย็บเป็นตัวตุ๊กตา ทั้งที่เย็บไม่เป็น แต่ก็เริ่มเรียนรู้จากเว็บไซต์ต่างๆ ที่สอนการตัดเย็บตุ๊กตาด้วยมือ นำอุปกรณ์เศษๆ ในบ้าน เช่น ลูกปัดข้อมือ ใยที่นอนเก่า ลองเย็บตาม ได้ตุ๊กตาหมีมาตัวหนึ่ง เลยนำไปโพสต์ในเว็บไซต์ให้คนเข้ามาวิจารณ์ฝีมือ ผลตอบรับค่อนข้างดี เลยคิดว่าฝีมือด้านนี้ของผมน่าจะใช้เป็นอาชีพได้”

ไม่ นากนัก ฝีมือการเย็บตุ๊กตาหมีของคุณประยุทธ ก็เป็นที่เลื่องลือในวงการพี่น้องเพื่อนพ้องและคนสนิท ซึ่งไม่เฉพาะฝีมือที่เย็บตุ๊กตาหมีได้ แต่เพราะไอเดียออกแบบตุ๊กตาหมีไม่ให้เหมือนคนอื่น ด้วยการเย็บจุดข้อต่อแขนและขาของตุ๊กตาหมีให้ขยับได้ ไม่ยึดติดจนหนืด และเพิ่มการปักชื่อเจ้าของให้ที่อุ้งเท้าของตุ๊กตาหมี และยังตกแต่งตุ๊กตาหมีให้มีจุดเด่นน่าสนใจ อาทิ ผ้าพันคอ เน็คไท ที่คาดผม กิ๊บ ผ้าพันข้อมือ และอื่นๆ ตามแต่จะนึกตกแต่งให้แปลกตาไม่เหมือนที่เคยวางจำหน่ายในตลาดทั่วไป จนเพื่อนด้วยกันเองลองฝีมือสั่งให้คุณประยุทธเย็บตุ๊กตาหมีสำหรับให้เป็นของ ขวัญชิ้นแรก 1 ตัว จากนั้นมีพี่สาวของเพื่อนเห็นและถูกใจสั่งให้เป็นของขวัญให้กับเพื่อนร่วม งานอีก 7 ตัว

ความพิเศษของตุ๊กตาหมีทุกตัวของคุณประยุทธนอกจากจะเย็บ ด้วยมือแล้ว ตุ๊กตาหมีจะมีลายไม่ซ้ำกัน หรือ หากซ้ำกันจะมีตุ๊กตาหมีเพียง 3-5 ตัวเท่านั้นที่มีลายเหมือนกัน เนื่องจากผ้าที่นำมาเย็บประกอบเป็นตัวหมีมีไม่มากนัก ดังนั้น ลายผ้าใดที่ถูกนำมาเย็บเป็นตุ๊กตาหมีจะหมดไป ไม่มีลายเดิมอีก และการปักชื่อที่ลูกค้าต้องการ คุณประยุทธจะกำหนดความยาวไว้ที่ไม่เกิน 8 ตัวอักษร และหากเป็นอักษรภาษาอังกฤษจะทำให้การปักสะดวกขึ้น เนื่องจากตัวอักษรภาษาอังกฤษไม่ซับซ้อนเหมือนตัวอักษรภาษาไทย

ในการ ทำตุ๊กตาหมีแต่ละตัว คุณประยุทธเลือกใช้ผ้าคอตต้อน ผ้ายืด และผ้าซาติน ตามแต่ลูกค้าสั่งมา ซึ่งผ้าทั้ง 3 แบบ จะต้องทำแพทเทิร์นแบบยืดได้และยืดไม่ได้ เตรียมกระดุม ไหมหลอด ริบบิ้นหรือโบว์ มาไว้สำหรับเป็นอุปกรณ์ตกแต่งตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมีตัวหนึ่งใช้เวลาเย็บราว 10 ชั่วโมง ขั้นตอนที่ช้าที่สุดเป็นการเย็บจมูกหมี เพราะต้องสอยด้วยมือใช้ไหมปักเสื้อธรรมดา แต่ต้องเย็บแบบสอยให้แน่นมาก ส่วนเครื่องประดับตุ๊กตาหมี ข้อต่อ หู ปอกคอ จะต้องใช้วิธีเย็บที่ประณีตเพราะเป็นจุดเล็กๆ ที่ต้องใส่ใจ หากเย็บไม่ละเอียดงานจะไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นข้อต่อแขนขา คุณประยุทธใช้เอ็นร้อยเพื่อให้แข็งแรงและมีความยืดหยุ่น แขนขาของตุ๊กตาหมีจึงขยับได้ไม่ยึดติดแข็งเหมือนตุ๊กตาบางชนิด



มั่นใจฝีมือ เปิดเว็บไซต์ขายนำร่อง

แต่งเก๋ ดีไซน์ไม่ซ้ำ ลูกค้าชอบ

เมื่อ คุณประยุทธมั่นใจในฝีมือการเย็บตุ๊กตาหมีด้วยมือและการตกแต่งตุ๊กตาหมีที่ เขามั่นใจด้วยว่าไม่มีใครเหมือน ทำให้เขาเปิดเว็บไซต์เป็นของตนเอง เพื่อขยายกิจการขายตุ๊กตาหมีผ่านเว็บไซต์ ตั้งราคาขายตุ๊กตาหมีต่อตัว ขนาดเล็ก ความสูง 11 นิ้วครึ่ง อยู่ที่ 250 บาท และตุ๊กตาหมี ขนาดใหญ่ ความสูง 18 นิ้ว จำหน่ายในราคา 450 บาท การตกแต่งให้โอกาสลูกค้าเป็นผู้เลือก โดยจะตกแต่งให้ได้ตามต้องการและการตกแต่งถือว่ารวมอยู่ในราคาตุ๊กตาหมีที่ เป็นราคาขายเบ็ดเสร็จแล้ว

แต่เหมือนโชคไม่เข้าข้าง การเปิดเว็บไซต์รับสั่งตรงจากลูกค้าไม่ได้ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีลูกค้าสั่งซื้อตุ๊กตาหมีบ้างเป็นระยะ แต่ไม่มากพอที่จะดำรงชีพ ทำให้คุณประยุทธใช้ความสามารถของตนเองและแฟนสาว คือ คุณอังครินทร์ โอภาสธวัช ซึ่งเรียนจบมาทางด้านออกแบบนิเทศศิลป์ หารายได้เพิ่มโดยการรับจ้างออกแบบและผลิตงานพิมพ์ จัดทำโฟโต้บุ๊ค ปฏิทินปีใหม่ การ์ดพิมพ์ตามเทศกาลและประเพณีต่างๆ ประกอบไป พอเป็นรายได้จำนวนหนึ่ง แต่คุณประยุทธเองยังมองว่าไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามสภาพ เศรษฐกิจในปัจจุบัน จึงพยายามมองหาแผงค้าเพื่อนำตุ๊กตาหมีเย็บมือออกวางจำหน่าย รวมถึงการออกงานตามบู๊ธต่างๆ เพื่อระบายสินค้าและทำให้คนรู้จักผลงานของตนเองมากขึ้น ทำให้ยอดการสั่งสินค้ายังพอมีอยู่เป็นระยะไม่เงียบไปเสียทีเดียว

“กลาง ปีที่แล้ว เพื่อนอยากได้ของประดับในรถแต่ไม่ชอบตุ๊กตาหมี เลยเสนอไอเดียว่าเอาใบหน้าของเพื่อนมาเย็บให้เป็นหมอนขนาดหนุนได้ เพื่อเก็บไว้ในรถ แล้วลองทำดูใบแรกพัง ใบที่ 2 ออกมาเป็นรูปร่าง พอขายให้เพื่อนไปตามราคาที่เพื่อนให้ หลังจากนั้นก็มีคนสั่งออเดอร์หมอนหน้าคนเข้ามาเรื่อยๆ ช่วงนั้นมีประกวดไอเดียเด็ดของสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 106.5 เมกกะเฮิร์ตซ์ คลื่นกรีนเวฟ เห็นเป็นช่องทางหนึ่งลองส่งผลงานเข้าไปและได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 10 ผลงานไอเดียเด็ด การออกบู๊ธเปิดตัวในงานนี้ส่งผลให้มีลูกค้าสั่งหมอนหน้าคนมากถึง 80 ใบ”

เมื่อ ถามถึงความยากง่ายและการเย็บมือของหมอนหน้าคน คุณประยุทธ บอกว่า ช่วงที่ยากที่สุดของการทำหมอนหน้าคน คือ การทำแพทเทิร์น ซึ่งต้องวาดให้เหมือนหน้าลูกค้าให้มากที่สุด จากนั้นส่งอี-เมลแพทเทิร์นที่วาดไปให้ลูกค้าดู เมื่อลูกค้าพอใจแพทเทิร์นรูปหน้า จึงเข้าสู่กระบวนการผลิตเป็นการเย็บมือล้วนและต้องเย็บให้เหมือนที่วาด ซึ่งไม่ถือว่าง่าย ใช้เวลาทำ 2 วัน ต่อหมอน 1 ใบ คิดราคา 550 บาท ต่อใบ ขนาดเท่ากับกระดาษ A2 และแพทเทิร์นต้องวาดขึ้นใหม่ทุกครั้ง เพราะหน้าคนแต่ละหน้าไม่เหมือนกัน จึงมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าลูกค้าจะสั่งทำเหมือนกันมากกว่า 1 ใบ

คุณประยุทธ เล่าถึงออเดอร์แรกที่ลูกค้าสั่งเข้ามาก่อนเป็นที่รู้จักในการประกวดไอเดีย เด็ด ว่า เป็นการผลิตหมอนหน้าคนที่ไม่ได้เย็บเอง เพราะลูกค้าคนแรกขอให้ส่งเป็นชุด KIT คือ เย็บเป็นชิ้นให้ครบทุกชิ้น จากนั้นลูกค้าจะนำไปประกอบโดยเย็บมือเองก่อนนำไปมอบเป็นของขวัญ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีส่วนร่วมในการทำ ผู้รับเองก็รู้สึกดีที่ผู้ให้ลงมือเย็บด้วยตนเอง คุณประยุทธ จึงวางผังการเย็บ วิธีการเย็บ เป็นภาพประกอบเพื่อให้ง่ายต่อการเย็บมือประกอบเองของลูกค้า สิ่งสำคัญที่คุณประยุทธไม่ลืมย้ำกับลูกค้า คือ การอัดใยสังเคราะห์ที่จะต้องให้แน่นทุกซอกทุกมุม เนื่องจากหมอนมีวัตถุประสงค์คือหนุนนอน เมื่อนำไปใช้งานอาจยุบตัวลงได้ ดังนั้น การยัดใยสังเคราะห์แบบอัดแน่นจึงเป็นวิธีเดียวที่ทำให้หมอนหน้าคนคงรูปไว้ ได้อย่างสวยงามเป็นเวลานาน

วัสดุที่ใช้สำหรับทำหมอน คุณประยุทธ แจกแจงว่า ต้องใช้ผ้าสักหลาด หรือ ผ้าขนแกะ ใยด้านในหมอนใช้ใยสังเคราะห์ เพราะซักได้และไม่อมน้ำ ส่วนไหมที่ใช้สำหรับปักอวัยวะบนใบหน้าลงบนหมอนเป็นไหมธรรมดา แต่ประการสำคัญในขั้นตอนการผลิตหมอนหน้าคน คือ การเย็บเส้นประบนใบหน้าที่ต้องเย็บทั้งด้านในและด้านนอกด้วยมือ

ประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยออกแบบ

ย่นเวลา เพิ่มยอดผลิตทันใจ

ช่อง ทางหารายได้ของคุณประยุทธ ไม่มีหน้าร้าน เขาจึงเปิดช่องทางให้ลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าและสั่งออเดอร์ทางเว็บไซต์ โดยการออกแบบแพทเทิร์นทั้งตุ๊กตาหมีและหมอนหน้าคน คุณประยุทธปรับเปลี่ยนจากการออกแบบแพทเทิร์นด้วยมือเป็นการใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์แทน เพื่อความรวดเร็วในการผลิต และส่งรายละเอียดการลงมือเย็บให้กับลูกค้าผ่านทางอี-เมลแอดเดรส ปรับเปลี่ยนขนาด รูปร่าง ความต้องการตามแต่ลูกค้าบอก จากนั้นจึงลงมือผลิต ซึ่งระยะเวลาการผลิตจะเริ่มนับจากการตกลงรูปแบบสิ้นสุด

ส่วนการส่ง สินค้าให้กับลูกค้า คุณประยุทธใช้บริการของไปรษณีย์ไทย และคิดค่าบริการส่งสินค้า 30-50 บาท ขึ้นกับสินค้าที่ลูกค้าสั่ง โดยจะส่งแบบไปรษณีย์ด่วนพิเศษ หรือ อีเอ็มเอส เพื่อให้ถึงมือลูกค้าโดยเร็ว หรือหากอยู่ในรัศมีที่คุณประยุทธสามารถนำไปส่งได้เขาจะส่งให้โดยไม่คิดค่า บริการจัดส่ง เพราะถือเป็นการบริการลูกค้าอย่างหนึ่ง

ปัจจุบัน ตุ๊กตาหมีและหมอนหน้าคน เริ่มมีลูกค้าสั่งสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มจำนวนมากขึ้น คุณอังครินทร์แฟนสาวจึงอาสาทำหน้าที่เย็บเครื่องตกแต่งตุ๊กตาหมีให้ และตัดเตรียมผ้าตามจำนวนการสั่งสินค้า เพื่อย่นระยะเวลาทำงานของคุณประยุทธ และเพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้ารวดเร็วขึ้น เพราะการผลิตตุ๊กตาหมีและหมอนหน้าคนแต่ละชิ้นในระยะเวลาและขั้นตอนที่ ละเอียดมากพอสมควร

สนใจสั่งออเดอร์ตุ๊กตาหมีหรือหมอนหน้าคน ที่ยืนยันจากผู้ผลิตว่า จะมีเพียงหนึ่งเดียวในโลก ได้ที่คุณประยุทธ ประจันทา โทรศัพท์ (089) 453-7870 หรือแวะชมในหน้าเว็บไซต์ก่อนทดลองสั่งได้ที่ http://hugme4u.weloveshopping.com , http://hugme4u.hi5.com





ข้อมูลจำเพาะ

กิจการ จำหน่ายส่งและปลีกงานทำมือ หมอนรูปหน้าคน และตุ๊กตาหมี

ลักษณะกิจการ ครอบครัว

ชื่อกิจการ ฮักมี : hug me

เจ้าของกิจการ คุณประยุทธ ประจันทา

จุดเด่น ลายตุ๊กตาหมีมีแบบละไม่เกิน 5 ตัว, หมอนหน้าคนมีแบบละ 1 ชิ้น งานทุกชิ้นเย็บมือ 90 เปอร์เซ็นต์

กลุ่มเป้าหมาย ลูกค้าที่ต้องการของขวัญแปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร

ราคาขาย ตุ๊กตาหมีตัวเล็ก สูง 11 นิ้วครึ่ง ราคา 250 บาท

ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ สูง 18 นิ้ว ราคา 450 บาท

หมอนหน้าคนขนาดเท่ากระดาษ A2 ใบละ 550 บาท

กำไร 50 เปอร์เซ็นต์ ต่อชิ้น

แหล่งซื้อวัตถุดิบ พาหุรัด และ สำเพ็ง

ราคาวัตถุดิบ ผ้า เมตรละ 160-170 บาท

กระดุม เม็ดละ 1-6 บาท

โบว์หรือริบบิ้น เมตรละ 10-35 บาท

ใยสังเคราะห์ กิโลกรัมละ 70-100 บาท ขึ้นกับแหล่งซื้อ

รายได้ 16,500-20,000 บาท กรณีลูกค้าสั่งหมอน 30 ใบ

โทรศัพท์ (089) 453-7870 หรือ hugme4u@hotmail.com



หน้า 10 วารสารเส้นทางเศรษฐี ฉบับปักษ์หลังพฤศจิกายน 2552


สาระอาชีพดีดี โดย มติชน เส้นทางเศรษฐี

5 อาชีพที่ทำได้ แม้อยู่บ้าน

5 อาชีพที่ทำได้ แม้อยู่บ้าน



คุณแม่บ้าน คนว่างงาน หรือนักศึกษาที่อยากจะหาเงินเพิ่มลองมองหาอาชีพใหม่ๆ ที่สามารถทำที่บ้านได้ โดยไม่เสียเวลาดูแลบ้านและครอบครัว แถมมีรายได้เป็นกอบเป็นกำอีกต่างหาก งั้นอย่ารอช้าไปดู 5 อาชีพ ที่เรานำมาแนะนำกันเลย

1. Craft งานฝีมือโดดเด่น คุณรู้หรือไม่ว่างานแฮนด์เมดที่ต้องใช้ฝีมือทำ กำลังเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน คุณไม่จำเป็นต้องเปิดร้าน แต่อาจจะต้องหาตลาดตามร้านค้าต่างๆ หรืออินเทอร์เน็ต กระจายสินค้าของคุณเพื่อสร้างรายได้ขึ้น มา และอาจจะเพิ่มเติมลูกเล่นลงไปด้วย เช่น เก้าอี้หรือป้ายชื่อห้องเพ้นต์ลายดอกไม้ ตุ๊กตาหมีเชือกถักใส่ชุดรับปริญญาหรือชุดแต่งงาน ผ้าพันคอลายเก๋ๆ เป็นต้น

2. Baking อาหารอร่อย ถ้าคุณเคยทำอาหารไปให้คนอื่นๆ กินจนติดใจและเขาก็ถามหาอีก คุณเตรียมตัวเป็นถ้าแก่ได้เลย เริ่มแรกอาจใช้วิธีสั่งล่วงหน้า Made to Order เพื่อคุณจะได้จัดสรรวัตถุดิบให้เพียงพอ ไม่เหลือทิ้งจนทุนหายกำไรหด จริงอยู่ที่ว่ากำไรอาจจะไม่มากมายนัก แต่ถ้ามีคนทยอยสั่งทุกๆ เดือน ยอดรายได้ก็จะสม่ำเสมอขึ้น ซึ่งคุณอาจจะขยายตลาดรับทำส่งตามร้านกาแฟก็ได้ อย่างเช่น เค้ก คุกกี้ ไส้กรอกโฮมเมด ไอศกรีม ฯลฯ ประหยัดค่าทำเลไปได้มาก และไม่เสียเวลาเยอะ

สาวๆ หลายคนเปิดหน้าบ้านทำอาหารเช้าเล็กๆ น้อยๆ ขาย เช่น หมูปิ้ง ขนมปังปิ้งทาเนย โจ๊ก ซึ่งกำไรวันละประมาณ 200-300 บาท ดูเหมือนน้อย แต่นับเป็นเดือนคุณจะเงินเพิ่มมากถึง 9,000 บาท ทีเดียว

3. Childcare พี่เลี้ยงจำเป็น พี่เลี้ยงเด็กกำลังเป็นที่นิยมมาก หากคุณเป็นคนใจเย็น แล้วช่วงนี้ก็ปิดเทอม ต้องมีหลายบ้านที่ต้องการผู้ใหญ่มาคอยดูแลเจ้าตัวเล็กให้แน่ๆ การทำงานแบบนี้ไม่ต้องลงทุน แต่คุณอาจจะต้องดูแลเจ้าหนูไม่ให้คลาดสายตา และมีความรู้เรื่องเด็กสักนิดก็สามารถทำได้ ลองหารายได้นอกบ้าน ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เสียเวลาไปวันๆ ค่าตอบแทนอยู่ที่ประมาณวันละ 200-300 บาท หรือคิดเป็นชั่วโมงก็ได้

4. Gardening สวนสวยด้วยมือเรา คุณสามารถเลือกสวนสวยให้เพื่อนบ้านได้ด้วยมือของเราเอง ถ้าคุณเป็นคนชอบต้นไม้ใบหญ้าและรักการ แต่งสวน ลองสร้างงานแต่งสวนด้วยตัวคุณเองดูสิ อย่างเช่น สวนสมุนไพร สวนดอกไม้ ไม้พุ่มประดับ เป็นต้น รวมทั้งดูแลรดน้ำ ตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ย ซึ่งอย่างน้อยต้องทำเดือนละหนึ่งครั้ง เป็นงานบริการที่คนในเมืองต้องการ หาลูกค้าที่เป็นเพื่อนบ้าน จะได้ทำงานไม่ไกลจากบ้านคุณด้วย

5. Photographer สตูดีโอง่ายๆ ในบ้าน มีกล้องดีๆ สักตัวในบ้านอย่าวางทิ้งไว้ให้ราขึ้น ลองถ่ายภาพบุคคลแล้วเซฟไฟล์ไปปรินต์ลงกระดาษเหมือนภาพติดบัตรทั่วไป เพราะหากคุณเดินเข้าไปในร้านถ่ายรูปจะต้องเสียเงินประมาณ 120 บาท ต่อ 12 ภาพ แต่ถ้าถ่ายเองค่าปรินต์รูปไม่ถึง 30 บาท เท่านั้น รับรองว่ากำไรงาม เพราะใกล้เปิดเทอมแล้วและคนก็มีแนวโน้มที่จะสมัครงานมากขึ้น หรือรับถ่ายภาพอาหาร สินค้าต่างๆ ที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก

9 อันดับอาชีพทำเงินสูงสุดในปี 2010 ของจีน

9 อันดับอาชีพทำเงินสูงสุดในปี 2010 ของจีน

* จากการที่เศรษฐกิจของจีนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าการเติบโตของจีนนั้นย่อมส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทำให้มีการต้องการแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษเพื่อรองรับการเติบโตทาง ด้านเศรษฐกิจนี้ จากรายงานของ Shenzhen Special Zone Daily (ฉบับออนไลน์) ระบุว่า

1. นักแปล (Simultaneous Interpreter) ค่าจ้าง 300,000 หยวน /ปี (US$37,449) อาชีพนักแปลเรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความต้องการเป็นอับดับหนึ่ง อันเนื่องมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมากของจีน รวมทั้งการจัดการโอลิมปิกที่ผ่านมาด้วย

2. วิศวกร โทรคมนาคม 3G (3G telecommunications Engineer) ค่าจ้างขั้นต่ำอยู่ที่ 150,000 หยวน/ปี (US$18,724) ถึง 200,000 หยวน/ปี (US$24,966) ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าจะมีความต้องการแรงงานในสาขานี้ ถึง 500,000 ตำแหน่ง ในอนาคตอันใกล้

3. Online Media Talent (อาชีพในแขนงสื่อออนไลน์ เช่น เว็บดีไซน์เนอร์ กราฟิกดีไซน์เนอร์ โปรแกรมเมอร์ เกม อะนิเมเตอร์ ช่างภาพ นักเขียนภาพประกอบ) อัตราค่าจ้างรายเดือนอยู่ที่ 8,000 หยวน/เดือน (US$999) ถึง 10,000 หยวน /เดือน (US$1,248) สำหรับตำแหน่งในระดับกลาง

4. วิศวกรคอมพิวเตอร์ (Systems Integration Engineer) อาชีพนี้เท่าที่ทราบก็เรียกได้ว่า “นอนมา” อัตราค่าจ้างประมาณ 100,000 ถึง 200,000 หยวน/ปี

5. นัก คณิตศาตร์ประกันภัย (Actuary) ชื่อนี้อาจะฟังดูไม่คุ้นสำหรับคนทั่วไปนัก นักคณิตศาตร์ประกันภัยสามารถคาดหวังรายรับต่อปีอยู่ที่ 120,000 (US$14,979) ถึง 150,000 หยวน และมีการคาดการณ์ว่า อาชีพนี้จะเป็นอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุด ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากตลาดการประกันชีวิต-ประกันภัยจะเติบโตอย่างสูงในประเทศจีน เฉพาะในปีนี้อัตราเงินเดือนสำหรับอาชีพนี้สูงกว่า 10,000 หยวน/เดือน (ทำความรู้จักกับอาชีพนักคณิตศาตร์ประกันภัย คลิกอ่านที่นี่)

6. นักบริหารงานขนส่งสินค้า (Logistics Specialist) ความต้องการอาชีพนี้ก็มากขึ้นไปตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจจีน อัตราค่าจ้างอยู่ที่ 70,000 (US$8,738) ถึง 100,000 หยวน/ปี

7. วิศวกร สิ่งแวดล้อม (Environmental Engineer) ขณะนี้ประเทศจีนขาดแคลนแรงงานในสาขานี้สูงถึง 420,000 คน ขณะที่ประเทศไทยวิศวกรสิ่งแวดล้อมนิยมผันตัวเองไปทำงานด้านอื่นกันเป็นจำนวน มาก อาชีพในสาขานี้ยังรวมไปถึง นักออกแบบจัดสวน และภูมิสถาปนิก มีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเดือน จะอยู่ที่ 7,000 ถึง 8,000 หยวน/เดือน

8. ผู้ สอบบัญชีรับอนุญาต Certified Public Accountant (CPA) เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่นอนมา ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแปรผันไปในทิศทางใด ประเทศจีนมีความต้องการ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 350,000 คน แต่ในปัจจุบันจีนมี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตที่ได้รับใบอนุญาตแล้วเพียง 80,000 คน อัตราค่าจ้างรายปี อยู่ที่ 100,000 หยวน

9. ผู้ชำนาญการพิธีการศุลกากร (Customs Specialist) อัตราค่าจ้างอยู่ที่ 7,000 ถึง 8,000 หยวน/เดือน

จากข้อมูลข้างบน ท่านผู้อ่านคงพอจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมว่า แนวโน้มของอาชีพการงานในโลกปัจจุบัน และอนาคตจะเป็นไปในแนวทางใด ข้อมูลนี้ได้มาจากจีน แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยได้เช่นกัน เพราะโลกทุกวันนี้ ไร้พรมแดน เชื่อมโยงกันหมดแล้ว

จัดอันดับ Wep Top 50 ของโลก

ข้อมูลสรุปนี้ไม่พร้อมใช้งาน โปรด คลิกที่นี่เพื่อดูโพสต์

จัดอันดับ blog Top 50 ในเมืองไทย

จัดอัดดับ blog Top 50 ในเมืองไทย
1. http://bignose.exteen.com
2. http://i-musicale.exteen.com
3. http://manro191.exteen.com
4. http://www.tlcthai.com/club/club.php?club_id=5062&club=OneTwo
5. http://polball.bloggang.com
6. http://blognone.com
7. http://all4u.bloggang.com
8. http://phantombbbb.exteen.com
9. http://naruto-thai.exteen.com
10. http://grizzlybear.bloggang.com
11. http://my.dek-d.com/carbohydrate
12. http://my.dek-d.com/yammeyam
13. http://anotherside.bloggang.com
14. http://vdoclip.exteen.com
15. http://my.dek-d.com/rose_neya
16. http://glitter.212cafe.com
17. http://programload.exteen.com
18. http://my.dek-d.com/natthawitraa
19. http://zenchompoo.bloggang.com
20. http://my.dek-d.com/moddom2010
21. http://ffman.exteen.com
22. http://beauty-queen.bloggang.com
23. http://piwat.bloggang.com
24. http://sirkoko.exteen.com
25. http://luckystar.bloggang.com
26. http://my.dek-d.com/nanakosos
27. http://my.dek-d.com/dekdee
28. http://solno07.exteen.com
29. http://club-hi5.exteen.com
30. http://gmmblog.gmember.com
31. http://takato.exteen.com
32. http://mangmome.bloggang.com
33. http://www.oknation.net/blog/SOUTHERNPOST
34. http://saako.exteen.com
35. http://cartoonzen.bloggang.com
36. http://feelfree.exteen.com
37. http://webmaster.bloggang.com
38. http://my.dek-d.com/yodnamkang
39. http://www.oknation.net/blog/black
40. http://free4u.bloggang.com
41. http://my.dek-d.com/nattione
42. http://tomozuki1.exteen.com
43. http://evenifidie.bloggang.com
44. http://skyman.bloggang.com
45. http://monnira.bloggang.com
46. http://my.dek-d.com/aerins
47. http://pookhakae.bloggang.com
48. http://my.dek-d.com/sweetvoice
49. http://noolin.bloggang.com
50. http://my.dek-d.com/akeovel

ตลาดเกมส์โตไม่หยุด ปี'53 มีมูลค่า 1.2 หมื่นล.

ตลาดเกมส์โตไม่หยุด ปี'53 มีมูลค่า 1.2 หมื่นล.
นายสุรพงศ์ เลิศสิทธิชัย ประธานกรรมการกำกับการศึกษาโครงการ ไทย ดิจิตอล คอนเทนต์ ไวท์ เปเปอร์ : แอนิเมชั่น แอนด์ เกมส์ 2006 ของ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือซิป้า กล่าวว่า
จากผลการศึกษามูลค่าตลาดเกมส์ และแอนิเมชั่นในประเทศไทยมีประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยมาจากตลาดเกม 5,700 ล้านบาท และมูลค่าตลาดแอนิเมชั่นอีก 4,500 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ขึ้นอีกเรื่อยๆ ดังนั้นรัฐบาลควรสนับสนุนและให้ความสำคัญกับการทำตลาดต่างประเทศเป็นอันดับ แรก

ทั้งนี้ จากภาพรวมอุตสาหกรรมเกมในไทยที่มีมูลค่า 5,700 ล้านบาทเติบโตเฉลี่ยปีละ 19% แต่บุคลากรสามารถผลิตออกสู่ท้องตลาดได้เพียง 500 ล้านบาทเท่านั้นจึงทำให้เกิดช่องว่างการผลิตจำนวนมาก โดยคาดว่ามูลค่าตลาดเกมรวมทั้งหมดในปี 2553 จะมีมูลค่าถึง 12,000 ล้านบาท โดยมาจากเกมส์ออนไลน์ 25 % เกมอาเขต(เกมตู้) 20 % เกมคอนโซล (เพลย์สเตชั่น) 20 % เกมแฮนเฮลด์ 23 % เกมมือถือ 15 % เกมพีซีออนไลน์ 10 %

ขณะที่ตลาดแอนิเมชั่นมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 18 % โดยไทยสามารถผลิตได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท จาก 4,500 ล้านบาท คาดการปี 2553 อุตสาหกรรมแอนิเมชั่นไทยจะมีมูลค่า 8,700 ล้านบาท เนื่องจากประเทศไทยมีความได้เปรียบเรื่องความคิดสร้างสรรค์ตลอดจนผู้ประกอบ การมีความเข้มแข็งในการพัฒนาผลงานอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณการรับจ้างผลิตจากต่างประเทศมากขึ้น

Tags: สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์แห่งชาติ

"ขายเพื่อน" ในเฟซบุ๊ก ธุรกิจ (มืด) บนโลกออนไลน์

"ขายเพื่อน" ในเฟซบุ๊ก ธุรกิจ (มืด) บนโลกออนไลน์
ความแรงของ "เฟซบุ๊ก" และฟีเจอร์การเชื้อเชิญเพื่อนเข้ามาอยู่ในเครือข่ายของตน ทำให้บริษัทการตลาดหัวใสจากออสเตรเลีย คิดค้นเครื่องมือด้านการตลาดใหม่ โดยการ "ขายเพื่อน" จำนวนครั้งละหลายๆ พันรายแก่ลูกค้าที่ต้องการ

เอพีรายงานว่า เครื่องมือทางการตลาดรูปแบบใหม่นี้ถูกพัฒนาโดยบริษัท "uSocial" มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกค้าทั้งองค์กรธุรกิจ, เซ เลบริตี้ หรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการขยายเครือข่ายสังคมของตนให้มากขึ้นเข้ามาใช้ บริการ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทที่เข้ามาสามารถรวบรวมแฟนๆ เพื่อพูดคุยสื่อสารกับผู้ใช้งาน หรือสร้างการยอมรับเกี่ยวกับธุรกิจ หรือความคิดต่างๆ ผ่านทางชุมชนออนไลน์

uSocial.net เสนอแพ็กเกจขายเพื่อนในเฟซบุŠกให้กับลูกค้าในราคา 177 ดอลลาร์ สำหรับเพื่อน 1,000 คน ขณะที่ 5,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนเพื่อนสูงสุดที่สามารถมีได้ในเฟซบุ๊กถูกเสนอขายในราคา 727 ดอลลาร์ แต่ปัจจุบันมีโปรโมชั่นเพียง 654.30 ดอลลาร์ ถึงกลางเดือนกันยายนนี้

แต่ถ้าหากลูกค้าสนใจอยากหาแฟนคลับในหน้า "fan" บนเฟซบุ๊กซึ่งไม่จำกัดจำนวนเพื่อน บริษัทก็มีขายพร้อมรายชื่อจำนวน 1,000 ชื่อ ในราคา 177 ดอลลาร์ และ 10,000 รายชื่อ ในราคา 1,167 ดอลลาร์

"ลีออน ฮิล" หนุ่มวัย 24 ปี ผู้ก่อตั้ง uSocial กล่าวว่า ธุรกิจและลูกค้าหลายๆ รายต้องการซื้อฐานข้อมูลของลูกค้าที่มีศักยภาพในการเป็นลูกค้าในอนาคต

"เราจะมองกลุ่มเป้าหมายหลักไปที่เพื่อน หรือ fan ที่อยู่บนเฟซบุ๊ก ที่ตอบ "ตกลง" รับข้อมูลข่าวสารบนชุมชนแห่งนี้"

เขา ยังกล่าวด้วยว่า ธุรกิจหลายแห่งมีความสนใจในบริการของเขา เพราะตอนนี้คนทำธุรกิจต่างรู้ว่าเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคม สามารถสร้างกระแสข่าวให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ด้วยต้นทุนที่ต่ำแต่มีประสิทธิภาพมากกว่าโฆษณาทางออนไลน์ หรือแม้แต่การโฆษณาแบบเดิมๆ

การทำงานของ uSocial คือ จะล็อกอินเข้าสู่หน้าประวัติส่วนตัวของลูกค้า หรืออาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ จากนั้นจะค้นหากลุ่ม เป้าหมายที่มีความเหมาะสมและตรงตามที่ลูกค้าต้องการ เพื่อส่งคำร้องขอเป็นเพื่อน อย่างไรก็ตามเพื่อนที่ได้รับการเชื้อเชิญมีสิทธิ์ที่จะตอบรับหรือไม่ก็ได้

แต่ทั้งนี้ภายในคำขอนั้นจะไม่มีกล่าวถึง uSocial และ กระบวนการที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากการทำงานด้วยสองมือ โดยฮิลอ้างว่าเพราะการทำงานด้วยมือนั้น ทำให้คอมพิวเตอร์ไม่คิดว่าเป็นสแปมที่ส่งมารบกวน

การกระทำของ uSocial ถือว่ากระตุกหนวดเฟซบุ๊กพอสมควร แม้ว่าฮิลจะอธิบายว่า เขาไม่ได้ต้องการที่จะสร้างความ ระคายเคืองกับบริการของเฟซบุ๊กก็ตาม

"บาร์รี่ ซิคนิตต์" โฆษกจากเฟซบุ๊ก กล่าวว่า "uSocial ทำ ให้เกิดการเบี่ยงเบนจากความพยายามของเฟซบุ๊กที่ต้องการสนับสนุนความน่าเชื่อ ถือให้เกิดขึ้น ดังนั้นการซื้อและการขาย หรือการกระทำใดๆ ที่ส่งผลต่อผู้ใช้งาน เราจะไม่ยอมรับ และเป็นสิ่งที่เราไม่ได้อนุญาต"

ปัจจุบันเฟซบุ๊กกำลังดำเนินการสืบสวนการกระทำของ uSocial โดย การออกประกาศเตือนว่า บริษัทการตลาดของออสเตรเลียได้ละเมิดเงื่อนไขการรับบริการ เพราะเข้าไปในแอ็กเคานต์ของผู้อื่น หรือใช้พาสเวิร์ดของผู้อื่น นอกจากนี้หากพบว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กละเมิดเงื่อนไขการรับบริการหรือซื้อเพื่อน จากบริษัทการตลาดออนไลน์ ทางเฟซบุ๊กจะดำเนินการต่างๆ ทันที ซึ่งรวมถึงการระงับการใช้แอ็กเคานต์อย่างถาวร

"เดบราห์ โอว วิลเลียมสัน" นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัย eMarketer กล่าวว่า การทำของ uSocial ส่วนหนึ่งทำให้เกิดความน่าสงสัย แต่อีกด้านหนึ่งจะช่วยเพิ่มการปรากฏของบริษัทต่างๆ อยู่บนสื่อเครือข่ายสังคมได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

แต่ ทั้งนี้การกระทำลักษณะดังกล่าว อาจจะสร้างความรำคาญให้กับผู้เล่นเฟซบุ๊ก หรือบุคคลที่อาจจะเป็นลูกค้าของสินค้านั้นในอนาคตได้ ถ้ากลุ่มเป้าหมายกับธุรกิจนั้นไม่เหมาะสมกัน ก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นปี uSocial ได้เขย่าวงการออนไลน์ ด้วยข้อเสนอที่คล้ายคลึงกันแก่ผู้ใช้บริการทวิตเตอร์ที่ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ตาม หรือสาวก (followers) และคิดเป็น ราคาแพ็กเกจลักษณะเดียวกัน

ขณะที่ปลายปี 2008 ที่ uSocial เปิดให้บริการครั้งแรกนั้น ได้เปิดบริการขาย "โหวต" ให้กับลูกค้าผ่านเว็บไซต์ Digg.com โดยคิดค่าบริการเกือบ 100 ดอลลาร์ สำหรับการโหวต 100 ครั้ง เพื่อให้ตำแหน่งของข่าวในเว็บสูงขึ้น แต่หากต้องการ 1,000 โหวต ต้องจ่ายถึง 700 ดอลลาร์เลยทีเดียว

ท้ายสุด Digg.com ได้ออกคำสั่งให้ uSocial หยุดการกระทำดังกล่าว โดยบอกว่าเป็นการละเมิดนโยบายของบริษัท แต่ทั้งนี้ uSocial อ้าง ว่า เพราะเขามีลูกค้าจำนวนมากเกินไปจนไม่สามารถรับมือกับความต้องการที่มี จึงต้องหยุดให้บริการ แต่บริษัทจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับซอฟต์แวร์ใหม่ที่มีความสามารถในการ โหวตมากกว่าเดิม

ที่มาของบทความ www.wiseknow.com

ผลิตภัณฑ์สุดฮอตที่จะร้อนแรงตลอดปี 2553




การจับตาผลิตภัณฑ์สุดฮอตที่จะร้อนแรงตลอดปี 2553 น่าจะเป็นบทพิสูจน์ของเทรนด์ตัวจริงที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นแฟชั่นเท่านั้น แต่น่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรง และเชื่อแน่ว่าจะทำให้ตลาดไอทีของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบมโหฬารด้วย

10 โปรดักส์ที่กำลังจะกลายเป็นเทรนด์ของโลกไอทีนี้ถูกรวบรวมโดย ‘ประสิทธิ์ วรฉัตราวณิช’ รองผู้จัดการทั่วไปและผู้อำนวยการฝ่ายนิวมีเดีย บริษัท เอ.อาร์.อินฟอร์เมชัน แอนด์ พับลิเคชัน จำกัด (AriP)

เน็ตบุ๊กไม่ตายแต่โต

แม้ว่าปีที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์เน็ตบุ๊กหรือพีซีพกพาตัวเล็กราคา ประหยัด สามารถเติบโตได้เพราะเศรษฐกิจไม่ดี แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในปี 2010 ตลาดเน็ตบุ๊กก็จะยังเติบโตอยู่ แต่อาจไม่โตแบบพุ่งพรวดเพราะมีคู่แข่ง

สิ่งที่ชี้ว่าเน็ตบุ๊กจะยังเติบโตต่อไปคือการที่อินเทลเปิดตัวชิป Atom รุ่นใหม่นาม n450 ทำให้เน็ตบุ๊กมีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถรองรับภาพยนตร์ความละเอียดสูงหรือ HD ได้แต่ยังไม่เต็มขั้น มีขนาดบางลง ในราคาสบายกระเป๋า แต่สิ่งที่ชี้ว่าเน็ตบุ๊กจะไม่แรงจนเติบโตมากมายคืออินเทลนั้นระบุ ว่า ชิป n450 นั้นไม่ได้ผลิตมาสำหรับเน็ตบุ๊กอย่างเดียว แต่สามารถใช้กับคอมพิวเตอร์แล็ปทอปอื่นๆได้ด้วย ทำให้แล็ปทอปรุ่นอื่นสามารถลดราคาลงเพื่อแข่งกับเน็ตบุ๊กได้อย่างถึงพริกถึง ขิง

สำหรับตลาดคอมพิวเตอร์ประหยัดพลังงานพิเศษ หรือ CULV เชื่อว่าจะเติบโตไม่รุนแรงในปี 2010 เพราะผู้ผลิตพีซีจะกดราคาเน็ตบุ๊กลงมาแย่งตลาด โดย CULV อาจครองส่วนแบ่งได้ 30% ในปีเสือ อีกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปีเสือ คือผู้บริโภคจะสับสนเรื่องสายผลิตภัณฑ์พีซีพกพามากขึ้นอีก เนื่องจากการกำเนิดของ ‘สมาร์ทบุ๊ก (Smartbook)’ คอมพิวเตอร์ตัวเล็กเท่าเน็ตบุ๊ก (หน้าจอไม่เกิน 10 นิ้ว) แต่ใช้ชิป ARM ซึ่งนิยมใช้ในสมาร์ทโฟน รองรับไว-ไฟ และ 3G ต่ออินเทอร์เน็ตได้ บนราคาที่ถูกกว่าเน็ตบุ๊ก

จากภาพที่มองว่าเน็ตบุ๊กใกล้จะสิ้นชีพในปี 2009 แท้จริงแล้วยังไม่แน่นอน เพราะต้องลุ้นผลการต่อสู้ระหว่างเน็ตบุ๊กกับโน้ตบุ๊ก CULV สมาร์ทบุ๊ก สมาร์ทโฟน และที่สำคัญคือ คอมพิวเตอร์แท็บเลตที่เชื่อว่าจะเป็นกระแสแรงมากในปี 2010

แท็บเลตจะพุ่งแรง

แท็บเลตพีซีคือคอมพิวเตอร์พกพาที่พับหน้าจอได้ แล้วนำหน้าจอสัมผัสมาติดไว้แทนที่คีย์บอร์ด น้ำหนักเบา หน้าจอราว 7-10 นิ้ว ขณะนี้สินค้ากลุ่มแท็บเลตพีซีเริ่มออกมาวางจำหน่ายอย่างจริงจังแล้ว และได้กระแสตอบรับมากมาย

นักวิเคราะห์เชื่อว่าพีซีพกพาแต่ละชนิดจะแข่งขันอย่างหนักในปี 2010 แต่ประเด็นที่จะยังเป็นคำถามสำหรับแท็บเลตพีซีคือความเชื่อว่า ผู้บริโภคยังไม่ต้องการแท็บเลตพีซี เพราะประสิทธิภาพที่ไม่หนีจาก CULV เครื่องอ่านอีบุ๊ก และเน็ตบุ๊ก แถมราคาก็ยังอยู่ในระดับที่แข่งขันไม่ได้

อีบุ๊ก กระแสที่เกิดขึ้น

ปี 2010 ถูกมองว่าจะเป็นปีแห่งสงครามดิสเพลย์ หนึ่งในผู้ร่วมชิงชัยคือเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรืออีรีดเดอร์ (eReader) เชื่อว่ายอดขายอีรีดเดอร์จะทะลุ 6 ล้านเครื่องในปี 2010 บนฝีมือการผลิตของบริษัทไม่ต่ำกว่า 30 แบรนด์ แต่ละแบรนด์มีจำนวนมากกว่า 1 รุ่น

จุดเด่นของอีรีดเดอร์นั้นอยู่ที่การประหยัดพลังงาน เหมาะสำหรับการแสดงผลตำรา อ่านง่าย รองรับไฟล์เอกสารได้หลากหลาย ล่าสุดมีรายงานว่าโรงงานผลิตหน้าจอในประเทศไต้หวันลงมือผลิตจออีอิงก์ชนิด ใหม่ที่มีราคาถูกลง ทำให้เชื่อว่าอุปกรณ์อีรีดเดอร์ทั้งหลายจะมีราคา 99 เหรียญในปีหน้า จากที่ปัจจุบันมีราคาราว 259 เหรียญ

กระแสอีรีดเดอร์ยังปรากฏในอุปกรณ์อื่นๆด้วย นั่นคือโปรแกรมอีรีดเดอร์บนอุปกรณ์พกพาที่ผู้บริโภคสามารถดาวน์โหลดไปติด ตั้งได้ เช่น โปรแกรมคินเดิลฟอร์ไอโฟน เป็นต้น ซึ่งเมื่อสังเกตให้ดีจะพบว่าแพลตฟอร์มอุปกรณ์ แอปพลิเคชั่น และอินฟราสตรักเจอร์ คือพื้นฐานที่สอดคล้องกันของ Gadget ในปี 2010

วินโดวส์เซเว่นมาแน่

ไอดีซีเชื่อว่าปี 2010 ผู้ใช้วินโดวส์เซเว่นจะเติบโตรวดเร็วมากจนมีสัดส่วน 50% เมื่อเทียบกับผู้ใช้ทั่วโลก วินโดวส์เซเว่นจึงเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่จะมาแน่นอนในปี 2010

แม้จะมีการใช้งานวินโดวส์เซเว่นแพร่หลาย แต่ปี 2010 จะเป็นปีที่หลายบริษัทพร้อมใจกันออกบริการคลาวด์คอมพิวติ้ง ที่มีแนวคิดหลักว่าผู้ใช้จะเก็บข้อมูลไว้ที่ใดก็ได้ ใช้ข้อมูลได้ไม่สิ้นสุด และสามารถเรียกใช้งานได้ตลอดเวลา ปี 2010 จึงเชื่อว่าพฤติกรรมการใช้ซอฟต์แวร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะเปลี่ยนแปลง ชัดเจนยิ่งขึ้นในปีนี้ จากการติดตั้งซอฟต์แวร์ลงในเครื่อง มาเป็นการเรียกใช้ซอฟต์แวร์จากอินเทอร์เน็ตแทน

ไมโครซอฟท์จึงต้องรับศึกการต่อสู้ระหว่างโลกเดสก์ทอปและโลกอิน เทอร์เน็ต ด้วยการเปิดตัวบริการ Azure (อะซัวร์) บริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่อาจจะร่วมเป็นอีกแรงเพื่อสะกดผู้บริโภคในปี 2010

คู่ต่อสู้ตัวแม่ของไมโครซอฟท์ในปีนี้หนีไม่พ้นกูเกิล ที่กำลังจะเปิดตัวระบบปฏิบัติการออนไลน์ของตัวเองในชื่อ ChromeOS กูเกิลระบุว่าโอเอสของตัวเองสามารถทำงานได้ดีบนคอมพิวเตอร์พกพาทั้งเน็ตบุ๊ก และแท็บเลตพีซี เท่ากับกูเกิลขอมีเอี่ยวในกระแสคอมพ์พกพาที่เชื่อว่าจะเชี่ยวกรากในปี 2010 อย่างเต็มตัว

ทีวีอินเทอร์เน็ตสร้างอาณาจักร

ตลาดทีวีอินเทอร์เน็ตในปี 2010 เชื่อว่าจะมีความคึกคักสุดขีด เพราะนอกจากความสะดวกสบายจากการเล่นอินเทอร์เน็ตบนทีวีจอยักษ์ การตอบโจทย์เรื่องข่าวอัปเดตล่าสุดจากสถานีข่าวในประเทศไทย (เนชั่นจับมือกับซัมซุง) วิดเจ็ตสารพัดประโยชน์บนหน้าจอทีวี และตัวคอนเทนต์วิดีโอบนอินเทอร์เน็ตในขณะนี้ที่มีคุณภาพและมีความหลากหลาย ไม่ต่างจากคอนเทนต์บนทีวี ล้วนเสริมบารมีให้ทีวีอินเทอร์เน็ตเติบโตในปี 2010 อย่างต่อเนื่อง

เครือข่ายสังคมเฟื่องฟูยิ่งขึ้น

เมื่อทุกอุปกรณ์ไอทีในปี 2010 ล้วนมีฟังก์ชั่นเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตยืนพื้น การขยายตัวของโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครือข่ายสังคมจึงเป็นเรื่องที่หนีไม่ พ้น เพราะเมื่ออินเทอร์เน็ตพร้อมเท่าไหร่ ผู้บริโภคก็พร้อมจะอัปเดตคอนเทนต์บนโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเท่านั้น ที่สำคัญ คอนเทนต์ที่เติบโตรวดเร็วจะมีผลต่อเสิร์ชเอ็นจิ้นหรือระบบค้นหาข้อมูลออ นไลน์ในปี 2010 ด้วย เนื่องจากเสิร์ชเอ็นจิ้นรายใหญ่อย่างกูเกิลและบิง ประกาศจับมือกับเครือข่ายสังคมทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์เพื่อให้ชาวออนไลน์สา มารถเสิร์ชพบข้อมูลอัปเดตนาทีต่อนาทีในเครือข่ายสังคมได้ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรียลไทม์เสิร์ชในอนาคต

ไฮสปีดเพิ่มสปีด

ทิศทางอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงนั้นมาแรงมากในปี 2010 สถิติผู้ใช้บรอดแบนด์ในประเทศไทยขณะนี้มีจำนวนมากกว่า 2 ล้านรายแล้ว คาดว่าจะมีอัตราขยายตัวเกิน 3 ล้านรายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ขณะที่ความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงสุดในประเทศไทยขณะนี้คือ 30Mbps

เมื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงแพร่หลาย สิ่งที่จะเกิดคือความนิยมเรื่องไฟล์แชริ่ง โดยเฉพาะการโหลดบิต ขณะเดียวกัน ภัยออนไลน์ทั้งภัยบ็อตเน็ตและหนอนคอมพิวเตอร์ก็จะหนักขึ้นด้วย โดยในปี 2010 เชื่อกันว่าโปรแกรมที่ให้ผู้บริโภคสร้างมัลแวร์เองจะได้รับความนิยมแพร่หลาย มากขึ้น รวมถึงภัยเมลหลอกลวงให้ช่วยเหลือสังคม และภัยคุกคามบนอุปกรณ์เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ เช่น ไอโฟน ก็เชื่อว่าจะมีความเสียหายหนักกว่าเดิม

โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงจะช่วยกระตุ้นตลาดสมาร์ทโฟนทั้งแอ นดรอยด์ และไอโฟน แต่ก็จะกระตุ้นให้มีการขโมยทรัพยากรเครือข่ายมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ไวรัสบนเครือข่าย, ไวรัสบนวินโดวส์เซเว่น และไวรัสบนแมคอินทอชก็คาดว่าจะวาดลวดลายหนักข้อขึ้นในปี 2010

สมาร์ทโฟนดุเดือด

สมาร์ทโฟนในปี 2010 จะแข่งขันดุเดือดกว่าทุกปีที่ผ่านมา มีการคำนวณว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ไม่ต่ำกว่า 50 เครื่องจะพากันแจ้งเกิดในปี 2010 พร้อมกับมีข่าวลือว่าไอโฟนรุ่น 4G จะแจ้งเกิดในเดือนกรกฎาคม 2010 โดยปรับให้มีกล้องดิจิตอลด้านหน้า พร้อมหน้าจอสว่างกว่าเดิม กล้อง 5.2 ล้านพิกเซล รองรับบลูทูธ

เมื่อแอนดรอยด์และไอโฟนมาแรง ยักษ์ใหญ่โนเกียจะออกหัวออกก้อยอย่างไรต่อไป เป็นอีกเรื่องที่โลกต้องลุ้นกันในปี 2010 ขณะเดียวกัน ไมโครซอฟท์ก็ออกมายืนยันชัดเจนแล้วว่าวินโดวส์โมบาย 7 จะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ปี 2010 ความล่าช้าที่เกิดขึ้นย่อมมีผลต่อการทำตลาดของไมโครซอฟท์ด้วย

ของจริง 3G ยังไม่เห็น

ขณะนี้ผู้บริโภคชาวไทยบางส่วนเริ่มได้เห็นบริการอินเทอร์เน็ต 3G จากโอเปอเรเตอร์บางค่ายแล้ว คาดว่าจะได้เห็นบริการเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี 2010 อย่างไรก็ตาม บริการประเภท Real 3G หรือบริการ 3G แบบของแท้บนคลื่นความถี่ 2100 MHz นั้นจะเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ทันปลายปี 2010 แน่นอน เนื่องจากโอเปอเรเตอร์จะต้องใช้เวลาติดตั้งระบบอย่างน้อย 6 เดือนหลังได้รับใบอนุญาตหรือไลเซนส์ 3G ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนถึงกำหนดการอนุมัติไลเซนส์อย่างเป็นทางการ

โลกใหม่เอ็มคอมเมิร์ซ

เอ็มคอมเมิร์ซ หรือ M-Banking บริการการเงินบนโทรศัพท์มือถือนั้นถูกมองว่าเป็นเทรนด์แรงของโลกในทุกๆปี แต่กลับไม่มีอิทธิพลเท่าที่ควรในประเทศไทยตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ทุกธนาคารจะมีให้บริการแล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่เสมอคือความมั่นใจของผู้บริโภค และพฤติกรรมการซื้อของคนไทยที่ไม่เอื้ออำนวย ฉะนั้น ความชัดเจนว่ากระแสอินเทอร์เน็ตร้อนแรงในปี 2010 จะช่วยกระตุ้นให้บริการการเงินบนอุปกรณ์เคลื่อนที่เติบโตยิ่งขึ้น จึงถูกสั่นคลอนเพราะความไม่มั่นใจของผู้บริโภค เอ็มคอมเมิร์ซในปีนี้จึงยังไม่มีทิศทางชัดเจนว่าจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมาก น้อยเพียงใด

ที่มาของบทความ http://www.wiseknow.com

วิธีต้านภัยร้ายออนไลน์

เผยวิธีต้านภัยร้ายออนไลน์

ฝ่ายระบบ รักษาความปลอดภัยอินเทอร์เน็ตของไอบีเอ็ม (ISS) แนะนำว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตควรจะคุ้มครองตนเองและองค์กรของตน ด้วยการปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อหลีกเลี่ยงภัยคุกคามทางออนไลน์ดังต่อไปนี้ :

1.ตรวจสอบอีเมลทุกฉบับอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งสิ่งที่ทีมงาน เอ็กซ์-ฟอร์ซของไอบีเอ็ม แนะนำคือ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตควรระมัดระวังกับการเปิดไฟล์ที่แนบมากับอีเมล โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าเปิดไฟล์นั้นๆ หากไม่แน่ใจที่มาที่ไป ทั้งนี้เพราะไฟล์ที่แนบมากับอีเมลอาจติดไวรัสได้ทุกเมื่อ แม้กระทั่งไฟล์ที่ส่งมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ก็ตาม

2.ติด ตั้งแพตช์ด้านความปลอดภัย (Security Patch) อย่างครบถ้วน หลายๆ คนอาจไม่เห็นความสำคัญ และผลัดวันประกันพรุ่งกับการติดตั้งแพตช์สำคัญๆ ในเครื่อง อย่างไรก็ตามทีมงาน เอ็กซ์-ฟอร์ซ มีข้อแนะนำว่าผู้ใช้ควรจะติดตั้งแพตช์ด้านความปลอดภัยและซอฟต์แวร์อัปเด ตทั้งหมดทันทีที่มีการประกาศเผยแพร่ออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัปเดตหรือแพตช์สำหรับเว็บเบราว์เซอร์และปลั๊กอินต่างๆ เช่น Quicktime, Flash, Acrobat เป็นต้น

3.อย่าใช้ "อุปกรณ์เสริม" ที่ไม่ได้รับอนุญาตบนเครือข่ายขององค์กร ข้อแนะนำคือ ผู้ใช้ไม่ควรเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ไม่ได้รับอนุญาตผ่านทางพอร์ต USB ในคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายของบริษัท ทั้งนี้เพราะการเจาะเครือข่ายองค์กรผ่านทางอุปกรณ์ USB นับเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายๆ องค์กร ทีมงานเอ็กซ์-ฟอร์ซ ของไอบีเอ็ม แนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายในองค์กรตรวจสอบอย่าง รอบคอบก่อนที่จะเชื่อมต่ออุปกรณ์แปลกใหม่เข้ากับเครื่องโน้ตบุ๊กหรือ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของบริษัท

และ 4.เก็บรหัสส่วนตัว หรือ PIN (Personal Identification Number) ไว้เป็นความลับเสมอ ในหลายกรณี การแอบอ้างและการต้มตุ๋นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อขโมยข้อมูลบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ดังนั้นผู้บริโภคจึงไม่ควรเปิดเผยรหัสส่วนตัว หรือ PIN ให้แก่เว็บไซต์ใดๆ หรือใครก็ตามที่แฝงตัวมาเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ในทำนองเดียวกัน ผู้บริโภคก็ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ได้รับสายจากผู้อื่น เนื่องจากอาชญากรเริ่มหันมาใช้โทรศัพท์เพื่อหลอกถามข้อมูลส่วนตัวกันมากขึ้น นั่นเอง

เทคโนฯด้านความปลอดภัย

บริษัท โกลบอลเทคโนโลยี อินทิเกรเทด จำกัด ได้มีการมองแนวโน้มว่าเทคโนโลยีด้านความมั่นคงปลอดภัยจะมีการพัฒนามากขึ้นใน ในด้านต่างๆ ประกอบด้วย

1. เทคโนโลยี Two-Factor Authentication ปัจจุบันการระบุตัวตนในโลกอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่ใช้เพียง username และ password ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่มิจฉาชีพอาจขโมยข้อมูลและปลอมตัวเพื่อแสวงประโยชน์ได้ (Identity Threat) เทคโนโลยีนี้จึงมีแนวโน้มเข้ามาอุดช่องโหว่ ด้วยการใช้ Token หรือ Smart card ID เข้ามาเสริมเพื่อเพิ่มปัจจัยในการพิสูจน์ตัวตน ซึ่งมีความจำเป็นโดยเฉพาะกับการทำธุรกรรมทางการเงินออนไลน์ และธุรกิจ E-Commerce

2. เทคโนโลยี Single Sign On (SSO) เข้าระบบต่างๆ ด้วยรายชื่อเดียว โดยเชื่อมทุกแอปพลิเคชั่นเข้าด้วยกัน ซึ่งมีความจำเป็นมากในยุค Social Networking ช่วยให้เราไม่ต้องจำ username/password จำนวนมาก สำหรับอีเมล chat, web page รวมไปถึงการใช้บริการ Wi-Fi/Bluetooth/WiMAX/3G/802.15.4 สำหรับผู้ให้บริการ เป็นต้น

3. เทคโนโลยี Cloud Computing เมื่อมีการเก็บข้อมูลและใช้งานแอปพลิเคชั่นต่างๆ มากขึ้นตามการขยายตัวของระบบงานไอที ส่งผลให้เครื่องแม่ข่ายต้องประมวลผลการทำงานขนาดใหญ่ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงมีแนวคิดเทคโนโลยี
Clustering เพื่อแชร์ทรัพยากรการประมวลผลที่ทำงานพร้อมกันหลายเครื่องได้ เมื่อนำแอปพลิเคชั่นมาใช้ร่วมกับเทคนิคนี้ รวมเรียกว่า Cloud Computing ทำให้ผู้ใช้สามารถใช้งานแอปพลิเคชั่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ปราศจากข้อจำกัดทางกายภาพ เข้าสู่ยุคโลกเสมือนจริงทางคอมพิวเตอร์ (visualization) ทั้งยังช่วยลดทรัพยากรของเครื่องคอมพิวเตอร์ ถือเป็นไอทีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green IT) อีกด้วย

4. เทคโนโลยี Information Security Compliance Law โลกไอทีเจริญเติบโตไม่หยุดนิ่ง ด้วยมาตรฐานที่หลากหลาย โดยเฉพาะในด้านระบบความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ จึงมีแนวโน้มจัดมาตรฐานเป็นหมวดหมู่ให้สอดคล้องกับความปลอดภัยข้อมูลใน องค์กร โดยนำ Log ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานมาจัดเปรียบเทียบตามมาตรฐานต่างๆ เช่น ISO27001 สำหรับความปลอดภัยในองค์กร, PCI/DSS สำหรับการทำธุรกรรมการเงิน, HIPAA สำหรับธุรกิจโรงพยาบาล หรือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ที่มีเป้าหมายเพื่อสืบหาผู้กระทำความผิดด้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น

5. เทคโนโลยี Wi-Fi Mesh Connection การใช้งานระบบอินเทอร์เน็ตไร้สายที่แพร่หลายในปัจจุบัน ซึ่งต้องเชื่อมโยงผ่าน Access Point นั้น สามารถเชื่อมต่อแบบ Mesh (ตาข่าย) เพื่อเข้าถึงโลกออนไลน์ได้สะดวกขึ้น ผู้ให้บริการ Wi-Fi จึงมีแนวโน้มใช้แอปพลิเคชั่นในการเก็บบันทึกการใช้งานผู้ใช้ (Accounting Billing) และนำระบบ NIDS (Network Intrusion Detection System) มาใช้ เพื่อเฝ้าระวังการบุกรุกหลากรูปแบบ เช่น การดักข้อมูล, การ crack ค่า wireless เพื่อเข้าถึงระบบ หรือปลอมตัวเป็นบุคคลอื่นโดยมิชอบ เป็นต้น

6. เทคโนโลยีป้องกันทางเกตเวย์แบบรวมศูนย์ (Unified Threat Management) ถึงแม้เทคโนโลยีนี้จะใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน แต่ก็ยังต้องกล่าวถึงเนื่องจากธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มเป็น SME มากขึ้น และเทคโนโลยีนี้ถือได้ว่ามีประโยชน์กับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะผนวกการป้องกันในรูปแบบ Firewall/Gateway, เทคโนโลยีป้องกันข้อมูลขยะ (Spam) การโจมตีของ Malware/virus/worm รวมถึงการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม (Content filtering) รวมอยู่ในอุปกรณ์เดียว

7. เทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึก (Network Forensics) การกลายพันธุ์ของ Virus/worm computer ทำให้ยากแก่การตรวจจับด้วยเทคนิคเดิม รวมถึงพนักงานในองค์กรมีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์สูงขึ้น ซึ่งอาจจะใช้ทักษะไปในทางที่ไม่เหมาะสม หรือเรียกได้ว่าเป็น "Insider hacker" การมีเทคโนโลยีเฝ้าระวังเชิงลึกจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการตรวจจับสิ่งผิดปรกติ ที่อาจเกิดขึ้นผ่านระบบเครือข่าย เพื่อใช้ในการพิสูจน์หาหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ประกอบการดำเนินคดี

8. เทคโนโลยี Load Balancing Switch สำหรับ Core Network เพื่อใช้ในการป้องกันการสูญหายของข้อมูล (Data loss) โดยเฉพาะในอนาคตที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลบนระบบเครือข่ายจะสูงขึ้น เทคโนโลยีนี้จะช่วยกระจายโหลดไปยังอุปกรณ์ป้องกันภัยอื่นๆ ได้ เช่น Network Firewall หรือ Network Security Monitoring และอื่นๆ โดยไม่ทำให้ข้อมูลสูญหาย

ภัยร้ายโลกออนไลน์

ภัยร้ายโลกออนไลน์
คุณเชื่อหรือไม่ว่าทุกวินาทีที่คุณกำลังออนไลน์ผ่านอุปกรณ์และเครือข่าย ต่างๆ คุณกำลังตกเป็นเหยื่อของการโจมตีจากภัยร้ายรูปแบบต่างๆ อย่างในช่วงเทศกาลวันหยุดและปีใหม่ที่ผ่านมา หลายคนคงเร่งรีบจับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อของขวัญให้กับคนใกล้ชิด นอกจากนั้น บางคนอาจเลือกความสะดวกสบายและความรวดเร็วด้วยการเลือกซื้อของผ่านทางออ นไลน์ เพราะช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย จากข้อมูลของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) พบว่าปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยกว่า 13 ล้านคน นอกจากนั้นแล้ว จากผลการสำรวจของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พบว่าธุรกิจการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยในปี 2549 มียอดขายถึง 305,159 ล้านบาท ในขณะเดียวกัน ยอดขายของผู้ประกอบการแบบทำธุรกรรมกับผู้บริโภค (B2C) ก็มีสูงถึง 47,501 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต และผู้ที่ทำธุรกรรมผ่านทางอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยอยู่เป็นจำนวนมาก

หน่วย งานรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต (Internet Security Systems-ISS) ของไอบีเอ็ม ได้เตือนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งที่เป็นผู้บริโภคและองค์กรธุรกิจให้ระมัด ระวังความเสี่ยงทางด้านออนไลน์ต่างๆ 5 ประการ ประกอบด้วย

1. สแปมเมลระลอกใหม่ที่มีโค้ดอันตรายซ่อนอยู่ ในช่วงปีที่ผ่านมา ทีมงานฝ่ายวิจัยด้านความปลอดภัย เอ็กซ์-ฟอร์ซ ของไอบีเอ็มได้มีการตรวจพบโค้ดอันตรายหรือมัลโค้ด (Malcode) ที่มีลักษณะแอบแฝงเพิ่มมากขึ้น โดยโค้ดดังกล่าวมักจะมาในรูปแบบของอีเมลที่หลุดรอดการตรวจจับจากซอฟต์แวร์ รักษาความปลอดภัยของผู้ใช้ เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส ไฟร์วอลล์ ฯลฯ เป็นต้น โดยมัลโค้ดดังกล่าวมุ่งทำให้เกิดช่องโหว่ในคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจมตี ซึ่งหลังจากที่มัลโค้ดดังกล่าวได้โจมตีและฝังตัวอยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่อง นั้นแล้ว คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมระยะไกลของอาชญากร

สำหรับ ช่วงเทศกาลวันหยุดและปีใหม่ที่ผ่านมา ทีมงาน เอ็กซ์-ฟอร์ซ ของไอบีเอ็ม คาดว่าจะมีการส่งอีเมล "สวัสดีปีใหม่" ที่มีโค้ดแปลกปลอมให้แก่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตอยู่มากมาย ดังนั้นผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจึงควรระมัดระวังการเปิดอีเมลที่ไม่น่าไว้วางใจ

2. หัวข้อใหม่ทางด้านฟิชชิ่ง (Phishing) : "การควบรวมกิจการของธนาคาร" ในขณะที่ธนาคารหลายๆ แห่งกำลังประสบปัญหาจนต้องควบรวมกิจการกับสถาบันการเงินอื่นๆ ทีมงาน เอ็กซ์-ฟอร์ซ เชื่อว่าอาชญากรจะใช้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนของผู้บริโภคใน ธุรกิจธนาคารเพื่อทำการโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing) ระลอกใหม่ โดยมีจุดประสงค์เพื่อหลอกลวงให้ลูกค้าธนาคารเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เลขบัญชี และรหัสผ่าน เป็นต้น

3. พอร์ทัลออนไลน์ (Online Portal) ปลอม ในช่วงที่มีการจับจ่ายซื้อของออนไลน์สำหรับช่วงวันหยุดและเทศกาลปีใหม่ หน่วยงานรักษาความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตของไอบีเอ็ม (ISS) คาดว่า ขบวนการฟิชชิ่งจะนำเสนอพอร์ทัลปลอมสำหรับการสั่งซื้อสินค้าแบรนด์ดังผ่านทาง ระบบออนไลน์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อขโมยข้อมูลบัตรเครดิต นอกจากนี้จะมีการโปรโมตเว็บไซต์ต้มตุ๋นเหล่านี้ผ่านทางอีเมล พร้อมทั้งข้อเสนอส่วนลดที่ดึงดูดใจ เช่น กิจกรรม "ลดล้างสต๊อก" เป็นต้น

4. ของเล่นและอุปกรณ์ที่มีโค้ดแปลกปลอม ในช่วงเทศกาลปีใหม่ในแต่ละปี มักจะมีการมอบของขวัญพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แก่กัน เช่น สมาร์ทโฟน และดีวีดีแบบเล่นอัตโนมัติ เป็นต้น จากผลการวิจัยที่ผ่านมาของทีมงาน เอ็กซ์-ฟอร์ซของไอบีเอ็ม เผยให้เห็นว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางอย่างอาจมีการติดตั้งมัลแวร์เอาไว้ ซึ่งอาชญากรในโลกไซเบอร์อาจจะใช้เป็นช่องทางในการแทรกซึมเข้าสู่เครือข่าย ขององค์กรได้

5. การท่องเว็บกลายเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงในช่วงปีที่ผ่านมา อาชญากรในโลกไซเบอร์ได้พยายามปรับเปลี่ยนเว็บไซต์สาธารณะหลายแห่ง และทำการซ่อนลิงก์แปลกปลอมไว้บนเว็บไซต์เหล่านั้น เมื่อผู้ใช้เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เหล่านี้ ลิงก์ที่ซ่อนอยู่ก็จะใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของเว็บเบราว์เซอร์ และติดตั้งมัลแวร์ที่จะดึงเอาข้อมูลลับของผู้ใช้หรือข้อมูลองค์กรมาเพื่อ ประโยชน์ในทางมิชอบได้อีกด้วย

10 ภัยร้ายออนไลน์

นัก วิจัยด้านภัยคุกคามข้อมูลขั้นสูงของบริษัท เทรนด์ ไมโคร คาดว่าเหล่าอาชญากรคอมพิวเตอร์ ใช้เทศกาลวันหยุดช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จากที่คาดกันว่าจะมีจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้นเพื่อค้นหา และสั่งซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ โดยมี 10 อันดับภัยคุกคามข้อมูลออนไลน์ช่วงเทศกาลวันหยุดยาวต้อนรับปีใหม่ ได้แก่

อันดับ 10 ภัยลวงนักล่าของถูก:อาชญากรคอมพิวเตอร์จะใช้ส่วนลดและโปรโมชั่นเพื่อหลอกล่อ เหยื่อให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตราย หรือป้อนข้อมูลที่เป็นความลับของตนลงในไซต์หลอกลวง โดยทั่วไปแล้วผลิตภัณฑ์ที่นำมาใช้ล่อเหยื่อจะเป็นสินค้ายอดนิยมและสินค้าขาย ดี ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้อดใจไม่ได้ที่จะคลิกลิงก์ที่ปรากฏ

อันดับ 9 ไซต์การกุศลจอมปลอม: เฮอริเคนแคทรีนาและกุสตาฟ เหตุการณ์แผ่นดินไหวในจีน ไฟป่าในแคลิฟอร์เนีย ภัยพิบัติเหล่านี้ล้วนถูกอาชญากรคอมพิวเตอร์นำมาใช้ประโยชน์เพื่อหลอกลวงและ วัตถุประสงค์อื่นๆ นอกจากนี้เทศกาลวันหยุดก็เป็นช่วงเวลาที่ผู้ใช้ออนไลน์ส่วนใหญ่เกิดความ รู้สึก "อยากทำบุญและต้องการบริจาค" อยู่แล้ว ซึ่งนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับอาชญากรคอมพิวเตอร์ที่จะบรรลุตาม แผนการที่วางไว้ นอกจากผู้ใช้ใจบุญซึ่งตอบกลับข้อความอีเมลลวงหรือเว็บไซต์จะไม่ได้ให้ความ ช่วยเหลือแก่ผู้ใดแล้ว ยังจะต้องสูญเสียเงินหรือข้อมูลที่เป็นความลับไปแทนอีกด้วย

อันดับ 8 บัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ (อี-การ์ด) ที่นำมาซึ่งข่าวร้าย: อาชญากรคอมพิวเตอร์มักจะใช้บัตรอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีการ์ดเพื่อล่อลวงเหยื่อให้คลิกลิงก์ที่เป็นอันตรายในข้อความสแปม และนั่นอาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อตกอยู่ในอันตรายได้ การโจมตีชนิดนี้มักจะใช้ประโยชน์ของเทศกาลวันหยุด เนื่องจากผู้ใช้มักจะส่งอีการ์ดให้แก่กันและกัน ซึ่งหลายคนมักจะคาดว่าอีการ์ดที่ได้รับนั้นอาจมาจากเพื่อนหรือเครือญาติ

อันดับ 7 โฆษณามัลแวร์ (Malvertisements): อาชญากรคอมพิวเตอร์จะใช้โฆษณาและโปรโมชั่นที่เป็นอันตราย (ดูเหมือนเป็นโฆษณาปรกติ) เพื่อแจกจ่ายมัลแวร์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ด้วยว่าสนใจในโฆษณาที่เห็นหรือไม่ จะเห็นได้ว่าโฆษณาที่แสดงในเว็บไซต์ที่มีการเข้าชมสูงมักจะถูกใช้เพื่อ กระตุ้นให้มีการดาวน์โหลดมัลแวร์ โดยเว็บไซต์ยอดนิยม เช่น Google, Expedia.com, Rhapsody.com, Blick.com และแม้แต่ MySpace ก็มักถูกใช้เป็นที่แอบแฝงของโฆษณาแบนเนอร์ที่เป็นอันตรายโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้มีการคลิกมัลแวร์เพื่อดาวน์โหลดลงในระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ได้ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าโฆษณาที่เป็นอันตรายเหล่านี้สามารถถูกฝังตัวไว้ใน ที่ใดก็ได้

อันดับ 6 ผลของการค้นหาข้อมูล (ที่แฝงภัยร้าย) ช่วงคริสต์มาสในปีที่ผ่านมา: ผลของการค้นหาคำตอบสำหรับข้อมูลที่ต้องการถูกใช้เป็นกลอุบายของมัลแวร์ โดยผู้เขียนมัลแวร์มักจะใช้เทศกาลต่างๆ เป็นตัวกำหนดว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมักจะเลือกใช้คำค้นหาคำใดที่จะนำไปสู่ ผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายของตนได้ ในปี 2550 ผลของการค้นหาคำว่า "Christmas gift shopping" ถูกพบว่านำไปสู่มัลแวร์หลากหลายชนิดที่เป็นอันตราย และเมื่อเร็วๆ นี้ ผลของการค้นหาคำว่า "Halloween costumes" ถูกพบว่าเป็นกลลวงที่แอบซ่อนภัยร้ายมัลแวร์ไว้ด้วยเช่นกัน

อันดับ 5 เว็บไซต์ (ลวง) ยอดนิยมที่มีคนเข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก: อาชญากรคอมพิวเตอร์จะเลือกเว็บไซต์เป้าหมายซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความ นิยมและมีการคลิกเข้าเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันหยุดเทศกาลสำคัญๆ ซึ่งผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ทั้งหลายมักจะมุ่งตรงไปยังร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์ประมูล หรือเว็บไซต์อี-คอมเมิร์ซ

อันดับ 4 กับดักข้อมูลส่วนบุคคลในรูปบัตรของขวัญและโปรโมชั่น: ผู้ใช้ที่ชอบค้นหาของฟรีหรือโปรโมชั่นพิเศษบนเว็บเสี่ยงต่อการถูกโจมตีใน ลักษณะนี้ได้ เนื่องจากสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เป็นอันตรายนี้มักจะถูกใช้เพื่อรวบรวมข้อมูล ส่วนบุคคลของคุณได้ โดยของรางวัล บัตรของขวัญ หรือแม้แต่เงินสดมักจะถูกใช้เพื่อล่อเหยื่อให้กรอกแบบสำรวจปลอม โดยที่เหยื่อจะไม่ทราบว่านั่นคือ ฟิชชิ่งไซต์ และเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขโมยข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับ

อันดับ 3 อี-คอมเมิร์ซฟิชชิ่ง: โดยปรกติอาชญากรคอมพิวเตอร์จะใช้วิธีล่อลวงเหยื่อ (ฟิชชิ่ง) ด้วยข้อความอีเมลที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ แต่ว่าจริงๆ แล้วคือลิงก์ที่เป็นอันตราย จากนั้นลิงก์ดังกล่าวจะนำผู้ใช้งานไปยังเว็บไซต์ลวงที่ดูเหมือนเว็บไซต์ ปรกติทั่วไป ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์อีเบย์ที่ได้รับการจัดอันดับว่าเป็นร้านค้าปลีกออนไลน์ที่ได้รับ ความนิยมสูงสุด และยังเป็นเว็บไซต์ที่ถูกเหล่าอาชญากรคอมพิวเตอร์เลือกเป็นไซต์ฟิชชิ่งสูง ที่สุดด้วย และเป็นส่วนหนึ่งของกลอุบายที่จะขโมยข้อมูลส่วนตัว

อันดับ 2 โทรจันที่มาพร้อมใบเสร็จจากผู้จัดส่งสินค้า (ปลอม): ข้อความต่างๆ จากผู้จัดส่งสินค้ายอดนิยม ซึ่งแจ้งว่าไม่สามารถส่งมอบของให้ผู้รับได้ ดังนั้นผู้รับข้อความจำเป็นต้องเรียกข้อมูลหรือไฟล์แนบท้ายที่มีลักษณะ เหมือนใบเสร็จรับเงินขึ้นมาดู แต่จริงๆ แล้วเป็นสแปมที่จะล่อลวงผู้ใช้ให้ติดตั้งโทรจันลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัญหาดังกล่าวค่อนข้างแยกแยะลำบากสำหรับนักชอปออนไลน์ ซึ่งกำลังรอสินค้าที่พวกเขาสั่งซื้อในช่วงเทศกาลปีใหม่

อันดับ 1 ใบแจ้งราคาสินค้า (ปลอม): ใบแจ้งราคาสินค้าปลอมที่ส่งมาทางอีเมลอาจจะแฝงภัยร้ายมัลแวร์ไว้ เมื่อผู้ใช้เปิดไฟล์หรือคลิกลิงก์ที่ได้รับ ผู้ใช้ก็จะถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวทันที ยิ่งไปกว่านั้นผู้ใช้ที่ไม่ใช่นักชอปออนไลน์ที่ได้รับข้อความในลักษณะนี้ และแน่ใจว่าไม่ได้ทำการสั่งซื้อสินค้าใดๆ ตามที่กล่าวอ้างในข้อความ ก็อาจสงสัยและเปิดไฟล์แนบท้ายได้เช่นกัน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหรือนักชอปออนไลน์ทั้งหลายจึงจำเป็นต้องระมัดระวังและ คำนึงถึงความปลอดภัยระหว่างเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่กำลัง จะมาถึงนี้

การหลอกลวง ทางอินเตอร์เน็ต

การหลอกลวง ทางอินเตอร์เน็ต
รายงานสำรวจเรื่อง “การหลอกลวง ทางอินเตอร์เน็ต” หน่วยงานของสหรัฐ อเมริกาที่ชื่อว่า “National Fraud Information Center” ซึ่งมีหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน เกี่ยวกับการ ซื้อขายสินค้าและบริการทางอินเตอร์เน็ต พบว่าในช่วง ครึ่งหลังของปีเดียวกันมีการร้องเรียนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 20,014 เรื่อง และเมื่อรวมมูลค่าความเสียหายตลอดทั้งปี คิดเป็นเงิน 3,387,530 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือความเสียหาย เฉลี่ยต่อบุคคลคิดเป็นจำนวนเงิน 427 ดอลลาร์สหรัฐฯ เรื่องที่ได้รับการร้องเรียนมากที่สุด 5 ลำดับแรก คือ การประมูลสินค้าทางอินเตอร์เน็ต (Internet Auctions) (78%), การ ซื้อสินค้าทั่วไป (10%), การให้ บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Access Services) (3%), การประกอบธุรกิจ ที่บ้าน (Work-At-Home) (3%) และ การให้สินเชื่อล่วงหน้า (Advance Fee Loans) (2%) ตามลำดับ และจากการ สำรวจที่ผ่านมา พบว่าผู้บริโภคได้รับความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็น จำนวนเงิน 4,371,724 ดอลลาร์สหรัฐฯ
การใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่อง มือในการหลอก ลวงมีหลายวิธีการ ตั้งแต่วิธีการดั้งเดิมที่อาจพบโดยทั่วไป ไปจนถึงวิธีการที่สลับซับซ้อน ผู้หลอกลวงใช้ความรู้ทาง เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด หรือก่อให้ เกิดความเสียหายแก่สาธารณชน แม้ว่าผู้บริโภคจะมีความรู้ทางเทคโนโลยี แต่ก็อาจไม่รู้เท่าทัน หรือไม่ ทราบถึงวิธีการหลอกลวงดังกล่าว จึงอาจได้รับความ เสียหายได้ ดังนั้นการทำความเข้าใจถึงรูปแบบของ การหลอกลวงที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ และเสนอ แนะวิธีป้องกัน จะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคทำให้สามารถ ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น อีกทั้งจะช่วยสร้างความ เชื่อมั่นให้กับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้ดียิ่งขึ้นด้วย

รูปแบบของการหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต

รูปแบบของการหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต มีลักษณะและวิธีการป้องกันโดยสรุป ดังนี้

1. การประมูลสินค้าทาง อินเตอร์เน็ต โดยการหลอกลวง (Internet Auction Fraud)

การ โฆษณาขายสินค้าทาง อินเตอร์เน็ตด้วยวิธีการประมูลสินค้า ผู้ซื้อที่สนใจจะเข้าร่วมการประมูล มักต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิกของ เว็บไซต์นั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หลังจาก นั้นจะได้รับหมายเลขสมาชิกและรหัสผ่าน (password) ผู้ซื้อจะต้องเสนอราคาซื้อแข่งขันกับผู้ซื้อรายอื่น เมื่อเสร็จสิ้น การประมูล ถือว่ามีการทำสัญญาซื้อขายระหว่างผู้ประมูล และผู้เสนอขาย โดยจะมีการส่งข้อความทางอีเมล์ (e-mail) แจ้งให้ผู้ซื้อและผู้ขายทราบผลการประมูล และแจ้ง รายละเอียดที่จะติดต่อกันได้ เพื่อให้ทั้งฝ่ายผู้ซื้อและ ผู้ขายติดต่อกัน ในเรื่องการชำระเงินและการส่งมอบสินค้า

ลักษณะการหลอกลวง

การ ประมูลสินค้าทางอินเตอร์เน็ตเป็นวิธีการ ซื้อขายสินค้าที่ได้รับความนิยม และเป็นช่องทางการติดต่อ ซื้อขายสินค้าที่สะดวกรวดเร็ว ในรายงานสำรวจที่ กล่าวมาแล้วของบางประเทศพบว่า เป็นวิธีการหลอกลวง ที่พบมากที่สุดเช่นกัน การหลอกลวงมีหลายรูปแบบ เช่น ผู้ขายไม่ส่งมอบสินค้าที่ผู้ซื้อประมูลได้ เพราะไม่มีสินค้า อยู่จริง, การหลอกลวงโดยการปั่นราคาซื้อขาย ผู้ขาย หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ขายจะเข้าเสนอราคา เพื่อ ประมูลสินค้าของตนให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อต้อง ซื้อสินค้าในราคาที่สูงเกินจริง เป็นต้น ความเสียหายที่อาจ เกิดขึ้น ผู้ซื้อได้ชำระค่าสินค้าให้แก่ผู้ขายแล้ว แต่ยัง ไม่ได้รับสินค้า หรือได้รับสินค้าที่ชำรุดเสียหาย หรือเป็น สินค้าที่มีลักษณะไม่ตรงกับที่มีการเสนอขายแต่แรก ด้านผู้ให้บริการประมูลทางอินเตอร์เน็ตเองก็อาจได้รับความ เสียหาย เพราะผู้ใช้บริการ (ผู้ซื้อ และผู้ขาย) ไม่ให้ความ ไว้วางใจและไม่ใช้บริการ

วิธีการป้องกัน

ผู้ซื้อควรตรวจ สอบว่า เว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ให้ บริการด้านการประมูลทางอินเตอร์เน็ต (คนกลาง) มีวิธีการ ระบุตัวบุคคลที่เป็นผู้ขาย (หรือผู้ซื้อ) ดีพอหรือไม่ กล่าวคือ มีการเก็บประวัติรายละเอียดของผู้ขายที่สามารถติดต่อได้หรือพิจารณาว่าผู้ ให้บริการด
้านการประมูลทางนเตอร์เน็ต (คนกลาง) มีนโยบายการประกันความเสียหายที่อาจ เกิดขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าที่มีมูลค่า ค่อนข้างสูง

2. การให้บริการอินเตอร์เน็ตโดยหลอกลวง (Internet Service Provider Scams)

ผู้ หลอกลวงจะส่งเช็ค จำนวนหนึ่ง (เช่น ราว 3.5 ดอลลาร์ สหรัฐฯ) ให้แก่ผู้ใช้บริการ เมื่อมีการเบิกเงิน ตามเช็คแล้ว ก็ถือว่าผู้บริโภคตกลงที่จะใช้บริการ ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (Internet Service Provider - ISP) ที่ได้รับแจ้ง ในการนี้อาจจะไม่มีการแจ้งค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใดๆ และมักเป็นการทำ สัญญาให้บริการอินเตอร์เน็ตที่มีระยะ เวลานาน ผู้หลอกลวงจงใจให้ผู้บริโภค หรือผู้ใช้บริการเกิดความสับสน และเข้าใจผิดในสาระ สำคัญเกี่ยวกับการบริการนั้น กล่าวคือเมื่อผู้บริโภคเข้าทำ สัญญาดังกล่าวแล้ว จะถือว่ายินยอมตามเงื่อนไขทุก ประการที่ระบุไว้ การหลอกลวงดังกล่าวนี้มักพบในประเทศ ที่มีผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตหลายรายและมีบริการที่หลากหลาย

ลักษณะการหลอกลวง

ผู้ บริโภคถูกเรียกเก็บเงินค่าบริการต่างๆ จาก ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ยังอาจจะมีคำขู่ที่ กล่าวว่า ถ้าหากผู้ใช้บริการต้องการเลิกสัญญาก่อนครบ กำหนดสัญญา จะถูกปรับเป็นจำนวนเงินที่สูง ความเสีย หายที่อาจเกิดขึ้น ผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินค่าบริการต่างๆ จากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต นอกจากนี้ยังอาจจะมีคำขู่ ที่กล่าวว่า ถ้าหากผู้ใช้บริการต้องการเลิกสัญญา ก่อนครบ กำหนดสัญญา จะถูกปรับเป็นจำนวนเงินที่สูง

วิธีการป้องกัน เมื่อผู้บริโภคได้รับเช็คโดยไม่ทราบสาเหตุที่ ชัดเจนแล้ว ไม่ควรทำข้อตกลงใดๆ กับบุคคลอื่น แต่ควร ศึกษารายละเอียดของเอกสารหรือข้อตกลงที่ส่งมาโดยถี่ถ้วน ตรวจสอบค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะถูกเรียกเก็บให้ครบถ้วน และควรติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตโดยตรง

3. การใช้บัตรเครดิตโดยไม่ได้รับอนุญาต (Credit Card Fraud)

การ ชำระค่าสินค้า ค่าบริการทางอินเตอร์เน็ตที่ได้ รับความนิยมที่สุดวิธีหนึ่งคือ การชำระเงินด้วยบัตรเครดิต เนื่องจากมีความสะดวกแก่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผู้ซื้อสามารถ ชำระเงินโดยการให้ข้อมูลบัตรเครดิตคือ หมายเลขบัตร เครดิต ชื่อ-สกุลของผู้ถือบัตร และวันหมดอายุแก่ร้านค้า ร้านค้าสามารถตรวจสอบได้เพียงว่า บัตรดังกล่าวเป็นบัตร ที่ออกโดยผู้ออกบัตรจริง แต่ไม่สามารถตรวจสอบตัวบุคคล ผู้ใช้บัตรได้ว่าเป็นบุคคลใด

ลักษณะการหลอกลวง

วิธีการ หลอกลวงเกี่ยวกับการชำระเงินด้วย บัตรเครดิตทางอินเตอร์เน็ตมีหลายวิธี ตัวอย่างเช่น การให้ บริการดูภาพลามกอนาจาร โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (ตามกฎหมายอเมริกา) แต่ผู้บริโภคต้องแจ้งข้อมูลบัตรเครดิตให้ผู้ให้บริการทราบ เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล แล้วผู้หลอกลวงจะ ใช้ข้อมูลนี้ไปกระทำผิดในที่อื่น ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ผู้ถือบัตรที่เป็นผู้บริโภคถูกเรียกเก็บเงินค่าสินค้า หรือบริการ จากบริษัท หรือธนาคารผู้ออกบัตร ทั้งๆ ที่ผู้ถือบัตรไม่ได้ใช้บัตรเครดิต ชำระรายการนั้นๆ เลย ซึ่งกฎหมาย บางประเทศจะให้ความคุ้มครองผู้ถือบัตร ในกรณีนี้ หรือผู้ถือบัตรรับผิดไม่เกิน จำนวนเงินที่กำหนดไว้ในข้อตกลง ระหว่างผู้ออกบัตรและผู้ถือบัตร

วิธีการป้องกัน

ผู้ถือ บัตรเครดิตไม่ควรแจ้งข้อมูลบัตรเครดิตให้ บุคคลอื่นทราบ แต่หากต้องมีการชำระเงินด้วยบัตร เครดิต ทางอินเตอร์เน็ต ก็ควรเลือกร้านค้าที่มีความน่าเชื่อถือ หรือมี หลักแหล่งที่แน่นอนสามารถติดต่อได้ หรือผู้บริโภคอาจ เลือกใช้บัตรที่มีวิธีการตรวจสอบตัวบุคคลผู้ใช้บัตรว่า เป็นผู้ถือบัตร เช่น การใช้รหัสประจำตัว (PIN) หรือรหัสใดๆ ที่ไม่ปรากฎอยู่บนบัตร แต่ถือเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ถือบัตร ที่ไม่เปิดเผยให้บุคคลอื่นทราบ นอกจากนี้ผู้ถือบัตรควร ตรวจดูข้อตกลงที่ทำไว้กับผู้ออกบัตรด้วยว่ามีเงื่อนไขความ รับผิดชอบอย่างไร

4. การเข้าควบคุม การใช้โมเดมของบุคคลอื่น (International Modem Dialing/ Modem Hijacking)

ลักษณะการหลอกลวง

การ โฆษณาการให้บริการสื่อลามกอนาจารโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้ใช้บริการจะต้องติดตั้งโปรแกรม คอมพิวเตอร์เพื่อดูภาพดังกล่าวหรือเรียกว่า ‘viewer’ หรือ ‘dialer’ ของผู้ให้บริการ เมื่อผู้ใช้บริการเปิดดูภาพด้วย โปรแกรมข้างต้นแล้ว การทำงานของโปรแกรมดังกล่าว จะเริ่มเมื่อมีการใช้เครื่องโมเดม(modem) ในขณะเดียวกัน โปรแกรมฯ จะควบคุมการทำงานของโมเดม และสั่งให้ หยุดการทำงาน โดยที่ผู้ใช้ บริการไม่รู้ตัว แล้วจะสั่งให้มี การต่อเชื่อมผ่านโมเดมอีกครั้ง โดยเป็นการใช้โทรศัพท์ทาง ไกลจากที่ใดที่หนึ่ง แล้ว มีการใช้อินเตอร์เน็ตอีกครั้ง จากที่นั่น เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถดูเว็บไซต์ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ผู้ใช้บริการจะถูกเรียกเก็บเงินค่าโทรศัพท์ ทางไกลจำนวนมาก ทั้งๆ ที่ผู้ใช้บริการ อาจไม่รับรู้ ซึ่งเป็นเพราะมีบุคคลอื่นลักลอบใช้โทรศัพท์ โดยอาศัยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ดังกล่าว

วิธีการป้องกัน

ผู้ใช้บริการหรือผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงไม่ติดตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการให้บร
ิการ ใดๆ โดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูเว็บไซต์ที่มีข้อมูลภาพ ลามกอนาจาร ควรตรวจสอบเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่างๆ ถ้าพบสิ่งผิดปกติ ต้องแจ้งระงับการใช้งานกับผู้ให้บริการ ทันที นอกจากนั้นผู้ใช้บริการควรตรวจสอบใบแจ้งหนี้ ค่าบริการโทรศัพท์อย่างสม่ำเสมอ

5. การหลอกลวงให้ใช้บริการเกี่ยวกับเว็บไซต์ (Web Cramming)

ลักษณะการหลอกลวง

การ หลอกลวงว่ามีการให้บริการเปิดเว็บเพจ (web page) โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เช่น การเปิดเว็บเพจ เป็นเวลา 30 วัน และไม่มีข้อผูกพันใดๆ ถ้าไม่ใช้บริการต่อไป ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อมีการตกลงใช้บริการ ดังกล่าวแล้ว ผู้ใช้บริการจะถูกเรียกเก็บเงินค่าใช้บริการ โทรศัพท์ หรือค่าใช้บริการในการ มีเว็บเพจ (ค่าธรรมเนียมการ ใช้พื้นที่) เป็นจำนวนมากทั้งๆ ที่ตนไม่เคยใช้บริการ หรือไม่ได้ สมัครแต่อย่างใด ผู้ใช้บริการ ยังไม่สามารถแจ้งให้ผู้ให้บริการ ยกเลิกได้ทันทีอีกด้วย

วิธีการป้องกัน

ผู้ บริโภคควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ให้บริการ และเลือกใช้บริการที่มีความน่าเชื่อถือเท่านั้น (กรณีนี้ มักพบในประเทศที่มีผู้ให้บริการโทรศัพท์จำนวนมาก เช่น ในสหรัฐอเมริกา เป็นต้น)

6. การหลอกลวงโดยใช้การตลาดหรือการขาย แบบตรง (Multilevel Marketing Plans/ Pyramids)

ลักษณะการหลอกลวง

การ หลอกลวงในลักษณะนี้คล้ายคลึงกับการทำสื่อโฆษณาในการทำตลาดหรือการขายตรง โดยมีการชักชวนให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมเป็นสมาชิกในเครือข่ายธุรกิจ โดยการกล่าวอ้างว่าผู้ขายจะได้รับสิทธิในการจำหน่ายสินค้าหลายชนิด และได้รับผลประโยชน์จากการขายสินค้าหรือชักชวนบุคคลอื่นเข้ามาเป็นตัวแทนขาย ตรงเป็นท
อดๆ ทำให้ผู้ที่ได้รับระโยชน์จริงมีจำนวนน้อยราย ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ผู้บริโภคที่เข้าร่วมเครือข่ายจะต้องชำระค่าสมาชิกจำนวนหนึ่งแต่จะไม่มีราย ได้ประจำแ
ต่อย่างใด รายได้ของผู้บริโภคจึงไม่แน่นอนและมักจะไม่ได้รับผลประโยชน์ตามที่ผู้หลอกลวงกล่าวอ้
างเพราะไม่สามารถขายสินค้าได้ตามเป้าหมาย

วิธีการป้องกัน

ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการสมัครเป็นสมาชิกหรือตัวแทนจำหน่ายสินค้าที่ต้องหาสมาชิก
รายอื่นเพิ่มขึ้นหรือต้องจำหน่ายสินค้าที่มีราคาค่อนข้างสูงให้ได้ตามยอดจำหน่ายที่ก
ำหนด เพราะอาจถูกหลอกลวงได้

7. การหลอกลวงโดยเสนอให้เงินจากประเทศ ไนจีเรีย (Nigerian Money Offers)

ลักษณะการหลอกลวง

ผู้ ใช้อินเตอร์เน็ตจะได้รับข้อความจากจดหมายหรืออีเมล์ (e-mail) จากบุคคลที่กล่าวอ้างว่ามีความสำคัญ ในประเทศไนจีเรีย ขอความช่วยเหลือในการโอนเงินจำนวน มากไปยังต่างประเทศ โดยผู้บริโภค จะได้รับเงินส่วนแบ่งจำนวนนับล้าน เหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ข้อความใน จดหมายหรืออีเมล์มีเนื้อหาทำนองว่า ประชาชนในประเทศไนจีเรียไม่สามารถ เปิดบัญชีเงินฝากในต่างประเทศ หรือโอนเงินออกนอกประเทศที่มีมูลค่าราว 10 ล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ ได้ หรือรัฐบาลไนจีเรียต้องการทำธุรกิจกับ ชาวต่างชาติจึงต้องการความช่วยเหลือจากชาวต่างชาติ ในการเปิดบัญชีเงินฝากประเภทกระแสรายวัน ที่เบิกด้วย เช็ค ซึ่งท่านจะได้รับค่าตอบแทน หรือค่านายหน้า ผู้บริโภค เพียงแต่แจ้งรายละเอียดของบัญชีเงินฝากของตน และ กรอกเอกสารพร้อมทั้งลงลายมือชื่อของเจ้าของบัญชีเท่านั้น ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อมีการแจ้งข้อมูลบัญชีเงิน ฝากแล้ว ผู้บริโภคจะถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่า ใช้จ่ายในการดำเนินการตลอดเวลา โดยให้ผู้บริโภคโอนเงินเข้าบัญชีที่แจ้งไว้ ผู้ที่หลอกลวงจึงสามารถเบิกเงินจากบัญชีดังกล่าวได้ โดยอ้างเอกสารมอบอำนาจของเจ้า ของบัญชี แต่การโอนเงินลักษณะนี้อาจทำไม่ได้ใน ประเทศไทย เว้นแต่จะเป็นการโอนเงินระหว่างบัญชีของธนาคารเดียวกันทางอินเตอร์เน็ต

วิธีการป้องกัน

ผู้บริโภคไม่ควรหลงเชื่อบุคคลอื่นที่อ้างตัวและเสนอจะให้ผลประโยชน์จำนวนมหาศาลโดยไม
่มีความเสี่ยงเช่นนี้และ ไม่ควรเปิดเผยข้อมูลบัญชีธนาคารของตนแก่ผู้อื่นด้วย

8. การหลอกลวงให้ประกอบธุรกิจที่บ้าน (Work-at-Home)

ลักษณะการ หลอกลวง

บริษัท ที่หลอกลวง จะเชิญชวนให้ผู้ต้องการประกอบธุรกิจทางอินเตอร์เน็ต หรือธุรกิจด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สมัครเป็นสมาชิกเพื่อทำธุรกิจโดยผู้บริโภคมีเพียงเครื่องคอมพิวเตอร์และ สามารถใช้อิน
เตอร์เน็ตจากที่บ้านได้ และมักอ้างว่าธุรกิจประเภทนี้เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในขณะที่ผู้บริโภคจะไม
่ได้ร ับคำแนะนำในการทำธุรกิจ ไม่มีข้อมูลธุรกิจที่ชัดเจน หรือไม่ทราบว่าตนอาจไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ เลย ผู้ถูกหลอกลวง จะถูกเรียกเก็บเงินค่าสมาชิก หรือซื้ออุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อ เริ่มทำธุรกิจ ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับ เงินค่าตอบแทนตามที่มีการกล่าวอ้าง และอาจต้องสูญเสีย เงินจากการลงทุนอีกด้วย

วิธีการป้องกัน

ผู้ที่ต้องการลง ทุนหรือต้องการเป็นเจ้าของกิจการ ควรศึกษาหรือสอบถามรายละเอียดของประเภทธุรกิจที่จะ ลงทุนการจ่ายเงินค่าตอบแทนที่ผู้บริโภคจะได้รับที่มีกำหนด เวลาที่แน่นอน รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จะต้องจ่ายใน การเริ่มต้นทำธุรกิจ และผู้บริโภคควรระวังไม่หลงเชื่อ คำเชิญชวนของผู้ที่อ้างว่าเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้จำนวนมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ

9. การหลอกลวงให้จดทะเบียนโดเมนเนม (domain name egistration scams)

ลักษณะการหลอกลวง

ผู้ที่ต้องการทำธุรกิจทางอินเตอร์เน็ตที่ต้องการมีเว็บไซต์และโดเมนเนมของตนเองจะได้
รับ การเสนอแนะว่าท่านสามารถได้รับสิทธิ ในการจดทะเบียนโดเมนเนมในระดับบนที่เรียกว่า “Generic Top-Level Domain’ หรือ gTLDได้แก่ .com, .org, .net, .int, .edu, .gov, .mil, .aero, .biz, .coop, .info, .museum, .name, and .pro เป็นต้น ก่อนบุคคลอื่น และถูกเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจองโดเมนเนมที่ต้องการซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีการใ
ห้บริการ ในลักษณะดังกล่าว ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นผู้ที่หลงเชื่ออาจได้รับความเสียหายเพราะได้ชำระเงินให้แก
่ผู้ที่หลอกลวง โดยไม่ได้รับสิทธิหรือประโยชน์ตามที่กล่าวอ้าง

วิธีการป้องกัน

หลีกเลี่ยงการใช้บริการการขอจดทะเบียนโดเมนเนมล่วงหน้าที่ให้การรับรองว่าจะได้รับสิ
ทธิ ในการเลือกโดเมนเนมประเภทนี้ (gTLD) ก่อนบุคคลอื่น และไม่ควรหลงเชื่อคำโฆษณาควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการยื่นขอจดทะเบียนจาก ผู้รับจดทะ
เบียนที่ได้รับสิทธิภายในประเทศ หรือเว็บไซต์ของ ICANN (Internet Corporation forAssignedNames and Numbers) (www.icann.org) ควรใช้บริการจดทะเบียนโดเมนเนมกับหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต,บริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ หรือใช้บริการของ“ศูนย์สารสนเทศเครือข่ายแห่งประเทศไทย” (Thailand Network Information Center – THNIC) (www.thnic.net)

10. การหลอกลวงโฆษณาหรือขายยามหัศจรรย์ (miracle products)

ลักษณะการหลอกลวง

การ โฆษณาหรือขายยาทางอินเตอร์เน็ตที่อ้างสรรพคุณว่าสามารถรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง, โรค ภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV/AIDS),โรคความดันโลหิตสูง ฯลฯ หรือสามารถบรรเทาความเจ็บป่วยได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และมักอ้างว่ายาเหล่านี้ ได้รับ การรับรองหรือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วความ เสียหายที่อาจเกิดขึ้น ผู้ป่วยที่ซื้อยาดังกล่าวโดยเชื่อว่า สามารถรักษาความเจ็บป่วยได้ อาจต้องสูญเสียเงิน หรือโอกาสในการได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง นอกจากนั้น ยังอาจได้รับอันตรายจากการใช้ยาเหล่านั้นด้วย

วิธีการป้องกัน

การใช้ยารักษาโรคควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือ เภสัชกรเท่านั้น



ที่มา : ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (www.ecommerce.or.th)

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

รายชื่อสถาบันการเงิน ( ธนาคารพาณิชย์ไทย )

รายชื่อสถาบันการเงิน
ธนาคารพาณิชย์ไทย ‎(14)

ธ. กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
http://www.bangkokbank.com
333 ถ.สีลม แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทรศัพท์ 0-2231-4333
โทรสาร 0-2236-8281-2

ธ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
http://www.ktb.co.th
35 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์ 0-2255-2222
โทรสาร 0-2255-9391-3

ธ. กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
http://www.krungsri.com
1222 ถ.พระรามที่ 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร 10120
โทรศัพท์ 0-2296-2000
โทรสาร 0-2683-1304

ธ. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
http://www.kasikornbank.com
1 ซอยกสิกรไทย ถ.ราษฎร์บูรณะ แขวงราษฎร์บูรณะ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร 10140
โทรศัพท์ 0-2888-8888
โทรสาร 0-2888-8882

ธ. เกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
http://www.kiatnakin.co.th
500 อาคารอัมรินทร์ทาวเวอร์ ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10331
โทรศัพท์ 0-2680-3333
โทรสาร 0-2256-9933

ธ. ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)
http://www.cimbthai.com
44 ถ.หลังสวน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทรศัพท์ 0-2626-7000, 0-2638-8000
โทรสาร 0-2633-9026
(ชื่อเดิม ธ.ไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน))

ธ. ทหารไทย จำกัด (มหาชน)
http://www.tmbbank.com
3000 ถ.พหลโยธิน แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทรศัพท์ 0-2299-1111
โทรสาร 0-2990-6010

ธ. ทิสโก้ จำกัด (มหาชน)
http://www.tisco.co.th
48/2 ทิสโก้ทาวเวอร์ ชั้น 1 ถ.สาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทรศัพท์ 0-2633-6000
โทรสาร 0-2633-6800

ธ. ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
http://www.scb.co.th
9 ถ.รัชดาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900
โทรศัพท์ 0-2544-1000
โทรสาร 0-2544-4948

ธ. ธนชาต จำกัด (มหาชน)
http://www.thanachartbank.co.th
900 อาคารต้นสนทาวเวอร์ ถ.เพลินจิต แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330
โทรศัพท์ 0-2655-9000
โทรสาร 0-2655-9001

ธ. นครหลวงไทย จำกัด (มหาชน)
http://www.scib.co.th
1101 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทรศัพท์ 0-2208-5000
โทรสาร 0-2253-1240, 0-2226-3798

ธ. ยูโอบี จำกัด (มหาชน)
http://www.uob.co.th
191 ถ.สาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
โทรศัพท์ 0-2343-3000
โทรสาร 0-2287-2973-4

ธ. สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน)
http://www.standardchartered.co.th
90 อาคารสาทรธานี ถ.สาทรเหนือ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทรศัพท์ 0-2724-4000
โทรสาร 0-2724-4444

ธ. สินเอเซีย จำกัด (มหาชน)
http://www.aclbank.com
622 อาคารเอ็มโพเรียมทาวเวอร์ ชั้น 11-13 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
โทรศัพท์ 0-2663-9999
โทรสาร 0-2663-9888

สุดยอดคำค้นหาในกูเกิล ปี52

กูเกิลเปิดโผสุดยอดคำค้นปี 52

* กรุงเทพธุรกิจ สนับสนุนเนื้อหา

กูเกิล เปิดโผสุดยอดคำค้นปี 52 ผ่านบริการที่เรียกว่า ไซท์ไกสท์ ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของคนไทยในรอบปี

รอบสัปดาห์นี้ ถือว่าได้ว่า แทบไม่มียักษ์อินเทอร์เน็ตรายไหน ที่ความเคลื่อนไหวมากมายเท่ากับ "กูเกิล" ยักษ์ เสิร์ชเบอร์ 1 ของโลกอีกแล้ว ทั้งอัพเกรดฟีเจอร์ใหม่ๆ บนหลากหลายแพลตฟอร์ม ไปจนถึงการตัดสินใจจับมือกับไมโคร บล็อกกิ้ง ชื่อดังอย่าง "ทวิตเตอร์" ผุดบริการสำหรับผู้ใช้งานให้สามารถเชื่อมโยงบริการถึงกันได้โดยง่าย

ล่าสุด กูเกิล ยังได้สรุป "สุดยอดคำค้นหา" ประจำปี 2552 ของประเทศไทย ผ่านบริการที่เรียกว่า "ไซท์ไกสท์" ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของคนทั่วโลก สถิติคำค้นหาสูงสุดจากกว่า 50 ประเทศมีอยู่บนเว็บเพจ "กูเกิล ไซท์ไกสท์" ที่ www.google.com/zeitgeist2009

ในรอบปี 2552 มีหลายคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไทย อาทิเช่น แพนด้าน้อยหลินปิงลืมตาดูโลกที่สวนสัตว์เชียงใหม่ การแข่งขันกีฬาแห่งชาติ ตรังเกมส์ และนโยบายเรียนฟรีสำหรับโรงเรียนรัฐบาล เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่ง ของการค้นหาข่าวเด่นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนมากที่สุดในปีนี้

นอกจากนี้ ในคำค้นยอดนิยม ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า คนไทยชื่นชอบการเยี่ยมชมสถานที่ ที่ชวนให้ระลึกถึงอดีตเมื่อวันวาน อาทิเช่น ตลาดร้อยปีที่อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี และเมืองชายทะเลหัวหิน ทั้งหมดนี้ คือ สถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลง คนไทยมองหาสินค้าราคาถูกผ่านอินเทอร์เน็ตกันอย่างกว้างขวาง จึงทำให้คำค้นหาว่า "ลดราคา" เพิ่มมากขึ้นถึง 62.5% เมื่อเทียบกับปี 2551 ส่วนในด้านความบันเทิงประเภทละครโทรทัศน์ เรื่อง "ชิงชัง" ครองเรทติ้งสูงสุดตลอดช่วงระยะเวลาหลายเดือนในช่วงปีนี้

ข้อมูลคำค้นหาสูงสุด ที่กูเกิล วิเคราะห์ออกมา ยังเผยให้เห็นประเด็นที่ได้รับความสนใจสูงสุดจากคนไทยในปีนี้ โดยพบว่าคนไทยใช้เวลาเพิ่มมากขึ้นในการเข้าถึงไฟล์พอร์ทัลบนอินเทอร์เน็ต อาทิเช่น 4 shared และการค้นหา "ภาพยนตร์ออนไลน์"

นอกจากนี้ ในหมวดหมู่ความบันเทิง พบว่าคนไทยค้นหาผลการประกวดร้องเพลงทางโทรทัศน์ The Star 5 และ Academy Fantasia 6 เพิ่มมากขึ้น และมีการค้นหาเพลง "ความคิด" และ "การเปลี่ยนแปลง" ส่วนนักเรียนก็ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสอบ Gat-Pat สำหรับการสอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย และใช้พจนานุกรมออนไลน์ไทย-อังกฤษ เพื่อรองรับการแปลคำศัพท์

นอกจากนั้น ประเด็นเรื่องสุขภาพทางด้านร่างกายและจิตใจ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนไทยให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปีนี้ คำค้นหาที่มาแรงได้แก่ "ไข้หวัดใหญ่ 2009" และ "ทำนายฝัน"

คนไทยยังให้ความสนใจกับหนังสือเล่มใหม่ เรื่อง "สแกนกรรม" กันอย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกัน ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ค้นหา "ธรรมะออนไลน์" เพื่อศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า ส่วนงานแต่งงานของ กบ สุวนันท์ กับ บรู๊ค ดนุพร ก็ได้รับความสนใจสูงสุดในหมวดหมู่การค้นหาเกี่ยวกับคนดัง

สรุป 5 อันดับแรก ของคำค้นยอดนิยมได้ประเภทต่างๆ บนเว็บไซต์กูเกิลมีดังต่อไปนี้

ประเภทคำค้นที่เป็น "ดาวรุ่งพุ่งแรง" 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.4 shared 2. ดูหนังออนไลน์ 3. ความคิด 4. gat-pat 5. dictionary อังกฤษไทย

ประเภทคำค้นแบบยอดนิยม 5 อันดับแรก 1. เกม 2. hi 5 3. youtube 4. hotmail 5. ดูดวง

ประเภทคำค้นที่เป็นข่าวเด่น 5 อันดับแรก 1. อาการไข้หวัดใหญ่ 2009 2. แพนด้าน้อย 3. ตรังเกมส์ 4. สุริยุปราคา 2552 และ 5. มอเตอร์โชว์ 2009

ประเภทคำค้นแหล่งท่องเที่ยวถวิลหาวันวาน 5 อันดับแรก 1. ตลาดน้ำสี่ภาค 2. อัมพวา 3. หัวหิน 4. สามชุก 5. ชะอำ ประเภทคำค้นคนดัง 5 อันดับแรก 1. กบ สุวนันท์ 2. หญิงแม้น 3. เจนนี่ 4. สิงโต 5. ก้อยโย่ง

ประเภทคำค้นเพลงไทย 5 อันดับแรก 1. ความคิด 2. คู่ชีวิต 3. แฟนเก็บ 4. โอ๊ยโอ๊ย 5. ตัวอิจฉา

ประเภทละครหลังข่าว 5 อันดับแรก 1. ชิงชัง 2. lee san 3. บ่วงหงส์ 4. เมียหลวง 5.ไฟรักอสูร

ประเภทคำค้นจิตและกำลังใจ 5 อันดับแรก 1. สแกนกรรม 2. ตั้งชื่อมงคล 3. ดวง 2552 4. ทำนายความฝัน 5. กุมารทองสยาม

ทั้งนี้ "กูเกิล ไซท์ไกสท์" ถือเป็นการสำรวจเกี่ยวกับ การค้นหาคำตอบต่อข้อสงสัยที่เกิดขึ้นผ่านคำค้นหาจำนวนนับหลายล้านคำที่กู เกิล เสิร์ชได้รับแต่ละวัน โดยเครื่องมือไซท์ไกสท์ จะไม่สามารถนำมาใช้กำหนดการค้นหาของผู้ใช้แต่ละรายได้ เพราะกูเกิลยึด วิธีการนับคำค้นหาโดยสรุปเป็นจำนวนรวมที่จะไม่เปิดเผยที่มาของผู้ค้นหา รวบรวมจากจำนวนคำนั้นๆ ที่มีการค้นหาจริงอยู่บ่อยครั้งตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญมากนะครับ สามารถวิเคราะห์ตลาด ได้ว่าคนไทยส่วนมากคิดอะไร ต้องการอะไรในช่วงนี้กันบ้าง ก่อนคิดจะลงทุนทำอะไรสักอย่างควรศึกษา ช่วยได้อีกทาง ^_^

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

แนะนำธุรกิจ สำหรับมือใหม่
ธุรกิจไม่มีวันเจ๊ง คงไม่รู้แฮะคงมีแต่เจ๊งยากมากกว่า ก็ต้องเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 ของคน สิ่งที่ต้องกินต้องใช้ ไม่กินไม่ใช้ก็ไม่ได้ เช่น ร้านตัดผม ขายข้าวแกง ขายยา

แต่ถ้าเป็นผม ผมแนะนำให้เป็นธุรกิจที่เป็นงานสร้างระบบครับ (Passive Income)
หมาย ถึงถ้าเรา สร้างระบบเสร็จ ก็คือเสร็จงาน เราไม่ต้องไปยุ่งกับมันมาก แค่ดูและเป็นระยะ ๆ ก็พอแล้ว เราก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นต่อ ไปสร้างระบบงานตัวอื่น หรือไปเที่ยว ไปไหนก็ได้

ตัวอย่างธุรกิจประเภทสร้างระบบเช่น
1. อสังหาริมทรัพย์ (สำหรับคนมีตังค์)
2. ฝากธนาคาร กินดอก (คงต้องใช้เงินเยอะพอควร ก็สำหรับคนมีตังค์)
3. เปิดร้านอะไรก็ได้ แต่เราวางระบบงานไว้ มีคนงานคอยดูแลต่าง ๆ เราไม่ต้องทำเอง (จ้างคนทำ) ตรงนี้ต่างกับ SMEs หรือธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ที่เราต้องไปทำเองจนเหนื่อย ไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนะ แต่ต้องคิดให้ดีก่อน สมัยนี้ ทำอะไรดี อะไรไม่ดี ความเสี่ยงค่อนข้างสูง ทราบมาว่าธุรกิจขนาดย่อม ๆ นี่ปี ๆ นึงปิดตัวไปเยอะเลย เหลือไม่กี่เจ้าที่ยืนหยัดอยู่ได้

ลองดูงานที่เรา ๆ ท่าน ๆ สามารถเริ่มกันได้แม้ว่าทุนน้อยดีกว่านะ
1. งานด้าน Internet Network เช่น Affiliate คือเป็นนายหน้าขายสินค้าให้กับเวปไซต์ เช่น amazon, CJ, Clickbank หรือเป็นนายหน้าขายห้องให้กับโรงแรม เช่น hotalsthailand, R24.org คือเราก็สร้างเวปไซต์มาเวปหนึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะขาย แล้วเราก็ไปสมัครเป็นพันธมิตรกับ Affiliate นั้น ถ้าคนเข้าเวปเราแล้วเค้าสนใจสินค้าหรือบริการนั้นแล้วก็ไปซื้อกับเจ้าที่เรา ร่วมพันธมิตรไว้ เราก็ได้ตังค์ (เหมือนเ็ป็นนายหน้าดีดีนี่เอง) ไม่ต้องมีสินค้าอะไรเลย สร้างเวปเสร็จ โปรโมทเสร็จ ก็โอเค รอคนสนใจมาซื้อบริการเราก็รับตังค์ งานแบบนี้ลงทุนน้อยมาก ถ้าทำเวปฟรี domain ฟรีก็ลงแต่แรง กับเวลา แต่ถ้าจะเช่า host , domain ด้วยก็เฉลี่ยปีละ ~ 100 USD

2. งานด้าน Network อีกเกี่ยวกับเวปอีกแหล่ะ ทำคู่กันกะอันข้างบนได้คือ "ติดโฆษณา" ในเวปเรา เช่น Adsense ถ้าคนมาดูเวปเรา แล้วสนใจเนื้อหา หรือโฆษณา แล้วคลิ๊กเข้าไปดู เราก็ "ได้ตังค์"

3. ก็ด้าน Network อีกก็พวก Network marketing หรือทำการตลาดแบบเครือข่าย อันนี้มีในบ้านเรานานแล้ว มีทั้งบริษัทที่ดี และไม่ดี ก็ต้องดูกันดี ๆ เอาที่ถูกกฏหมายและเข้าหลักเกณฑ์ที่ควรทำนะ (แผน สินค้า บริษัท ผู้บริหาร Timing) ข้อดีของตลาดเครือข่าย ก็เหมือนกันคือเป็นงานสร้างระบบเช่นกัน ถ้าเราทำเสร็จแล้วมันก็เสร็จงาน ถึงแม้ว่าไม่ได้ดูแล แต่รายได้ก็ยังเข้ามาอยู่ มีเวลาไปทำอย่างอื่น ไม่ต้องมานั่งเฝ้า และยังสามารถสร้างรายได้อย่างมหาศาลโดยที่คาดไม่ถึงเลย ตามกฏทวิคูณ

4. ระวังเรื่องธุรกิจลูกโซ่ หรือพวกแชร์ข้าวสาร แชร์ยาง แชร์ทอง ไ่ม่งั้นจะเจ๊งไม่รู้ัตัว ไม่มีใครรับประกันได้หรอกว่าจะโดนปิดหนีไปตอนไหน และอย่าหวังพึ่งราชการว่าร้องเรียนแล้วจะได้คืนหรอกนะครับยาก ทำอะไรก็ได้สุจริต ถูกกฏหมาย ดีกว่าปลอดภัย สบายใจ

ที่กล่าวมานี้ผมเองก็ทำร่วมกันหมดนะ ข้อดีข้อเสียต่างกัน
ถ้าจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การทำธุรกิจทาง Internet ก็เข้าไปที่ http://www.thaiseoboard.com คนเก่ง ๆ ด้านนี้รวมกันเยอะ มีอะไรปรึกษากันได้ด้วย